Share on
×

Share

สวทช. เดินหน้าสานต่อกลยุทธ์ความยั่งยืนด้านวิทย์-เทค ‘S&T Implementation for Sustainable Thailand

จากแผนปฏิบัติการ 5 ปี สวทช. (พ.ศ. 2566-2570) ซึ่งตั้งเป้าทิศทางการทำงานด้วยกลยุทธ์ “S&T Implementation for Sustainable Thailand” ที่มีความคืบหน้าต่อเนื่องมาทุกปี ในปี 2568 หน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) ของชาติแห่งนี้ยังคงเดินหน้าสานต่อโครงการที่วางไว้อย่างไม่หยุดยั้ง มุ่งมั่นใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสนับสนุนภาคส่วนต่าง ๆ ให้สามารถพึ่งพาตนเองนำพาประเทศชาติให้มีความสามารถในการแข่งได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้เผยแผนงานปี 2568 ของ สวทช. ว่า ยังคงมุ่งมั่นนำองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญการวิจัยไปใช้ให้เกิดประโยชน์ขยายผลงานวิจัยไปยังภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อเร่งผลักดันงานวิจัยเข้าถึงประชาชนทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ด้วยกลยุทธ์“S&T Implementation for Sustainable Thailand” หรือการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประเทศไทยยั่งยืน โดยตั้งเป้าหมายให้มีผู้ได้รับประโยชน์จากโครงการ S&T Implementation เพิ่มขึ้นมากกว่า 7 ล้านคน และหน่วยงานรับถ่ายทอดผลงานวิจัยมากกว่า 20,000 หน่วยงาน จากปี 2567 มีประมาณ 5 ล้านคน

จากเป้าประสงค์ 5 ด้าน คือ การสร้างความสามารถในการแข่งขันให้แก่ประเทศ การเสริมสร้างคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ การส่งเสริมการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานทั้งที่อุทยานวิทยาศาสตร์ และ EECi ยกระดับจากห้องวิจัยสู่อุตสาหกรรม การเตรียมความพร้อมความเข้มแข็ง และการเสริมสร้างบุคลากรด้านการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม เพื่อปรับตัวได้ทันต่อพลวัตการเปลี่ยนแปลง เช่น การพัฒนากำลังคนด้าน EV เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมยานพาหนะไฟฟ้า ซึ่งปี 2567 ได้ Upskill/Reskill ไปแล้ว 273 คน มีผู้ใช้ประโยชน์ 36 หน่วยงาน สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจมากกว่า 860 ล้านบาท เกิดการลงทุนด้าน วทน. มากกว่า 640 ล้านบาท

การดำเนินงานเน้น 4 กลยุทธ์ ได้แก่ 1. ขับเคลื่อนแผนงาน S&T Implementation for Sustainable Thailand ร่วมกับพันธมิตรสำคัญในการขยายผลสู่การใช้ประโยชน์ 2. สร้างความเข้มแข็ง ความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีฐานด้านที่สำคัญของประเทศ เพื่อตอบ S&T Ecosystem ของประทศ ทั้ง AI, EV, Security และโดรน 3. สร้างการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานของ สวทช. และการพัฒนาบุคลากรด้าน วทน. และ 4. เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทรัพยากร

ปี 67 สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ขณะที่ปี 2567 สวทช. ขับเคลื่อนโครงการ BCG Implementation เพื่อใช้การวิจัยเป็นเครื่องมือสำคัญให้แก่ผู้ใช้ประโยชน์ทุกภาคส่วน เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ โดยมีผู้ได้รับประโยชน์จำนวนกว่า 8.9 ล้านคน มีหน่วยงานนำเทคโนโลยีไปใช้มากกว่า 43,000 หน่วยงาน สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมมากกว่า 20,000 ล้านบาท และผลักดันให้เกิดการลงทุนด้าน วทน. มากกว่า 3,600 ล้านบาท และยังตอบโจทย์ประเทศ 4 มิติ ได้แก่

มิติที่ 1 สร้างอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ ด้วย 3 โครงการหลัก คือ 1. แพลตฟอร์มการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน (FoodSERP) บริการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรม ตลอดห่วงโซ่การผลิตพร้อมผลักดันสู่เชิงพาณิชย์ ซึ่งพัฒนาอาหารเสริมมากว่า 2 ปี มีมากกว่า 25 รายการ ลงทุนด้าน วทน. มากกว่า 200 ล้านบาท ผลกระทบด้านเศรษฐกิจมากกว่า 2,300 ล้านบาท เกิดมูลค่าทางธุรกิจมากกว่า 7,500 ล้านบาท ยกระดับอุตสาหกรรมส่วนผสมฟังก์ชัน อาหารและเวชสำอาง

2. นวัตกรรมการผลิตสารสกัดเพิ่มมูลค่า ยกระดับอุตสาหกรรมด้านสุขภาพและความงามอย่างยั่งยืน พัฒนาเทคโนโลยียกระดับสมุนไพรไทยสู่ พืชเศรษฐกิจตัวใหม่ วิจัย ‘สารสกัดมาตรฐานจากกะเพรา กระชายดำ และบัวบก’ โดยรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาสู่ ‘ผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์’ พลิกโฉมสมุนไพรไทยสู่สารสกัดมูลค่าสูง พัฒนาผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพและความงามระดับมาตรฐานสากล ผ่านบริษัทชั้นนำระดับโลก 10 ประเทศ เช่น ฝรั่งเศส เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร เยอรมนี และนิวซีแลนด์ เกิดการลงทุนด้าน วทน. 152 ล้านบาท สร้างมูลค่าทางธุรกิจมากกว่า 320 ล้านบาท และ 3. EV การพัฒนาห่วงโซ่อุตสาหกรรมยานพาหนะไฟฟ้าเพื่อการแข่งขันที่ยั่งยืน

พึ่งพาตนเอง

ส่วนมิติที่ 2 เพิ่มการพึ่งพาตนเอง ด้วย 4 โครงการหลัก คือ 1. Digital Healthcare Platform ขยายผลแพลตฟอร์มบริการการแพทย์ปฐมภูมิ สนับสนุนหน่วยบริการนวัตกรรมตามนโยบาย สปสช. และบริการการแพทย์ฉุกเฉิน ช่วยคนไทยใช้ประโยชน์กว่า 3 ล้านคน ใช้บริการมากกว่า 8 ล้านครั้ง สนับสนุนหน่วยบริการทางการแพทย์มากกว่า 6,200 แห่ง และสนับสนุนนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ของรัฐบาล

2. ชุดตรวจติดตามโรคไตเรื้อรังและภาวะแทรกซ้อนโรคเบาหวาน ผลงานของศูนย์นาโนเทค ที่ผ่านการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์กับ อย. และกำลังเข้าสู่ระบบสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ประชาชนใช้ตรวจคัดกรองโรคไตในระยะเริ่มต้นด้วยตัวเองอย่างง่าย รู้ผลตรวจภายใน 5 นาที เพิ่มโอกาสให้คนไทยรอดพ้นจากโรคไตเรื้อรัง ที่ปัจจุบันมีผู้ป่วยไตเรื้อรังทั้งประเทศมากกว่า 9 ล้านคน ทำให้รัฐต้องจ่ายงบประมาณค่ารักษามากกว่า 1 หมื่นล้านบาทต่อปี

3. วัคซีนสัตว์ พัฒนาวัคซีน ASF สายพันธุ์ไทย โดยศูนย์ไบโอเทคเร่งพัฒนาวัคซีน ASFV ต้นแบบชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ จากไวรัสสายพันธุ์ไทย เพื่อสู้กับโรคระบาดในสุกร และลดการนำเข้าวัคซีน ปัจจุบันวางแผนทดสอบต้นแบบวัคซีนในฟาร์มสุกร 12 แห่ง โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐและเอกชน 80 ล้านบาท จากก่อนหน้านี้ ประเทศไทยประกาศการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (Africa Swine Fever: ASF) เมื่อ 11 ม.ค. 2565 สร้างความเสียหายในอุตสาหกรรมมากกว่า 1.5 แสนล้านบาท

4. National AI Ecosystem พัฒนาระบบนิเวศส่งเสริมการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ในภาครัฐและภาคอุตสาหกรรม พร้อมทั้งเสริมศักยภาพคนไทยก้าวทันโลกอนาคต โดยสนับสนุนแพลตฟอร์ม “AI for Thai” ที่มีสถิติการใช้งานสูงสุดมากกว่า 1 ล้านครั้งต่อเดือน สนับสนุน Medical AI Data Sharing ที่มีข้อมูลมากกว่า 2 ล้านภาพครอบคลุม 9 โรคสำคัญ โครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ผ่านการให้บริการ LANTA ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ สำหรับการวิจัยด้าน AI และสนับสนุนพัฒนา Thai LLM เป็น OpenThaiGPT ที่พัฒนาโดยคนไทย รวมถึงการพัฒนากำลัคนกว่า 10,000 คนระดับ Entry Level – Expert Level

ลดสังคมเหลื่อมล้ำ

ขณะที่ มิติที่ 3 ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม มี 3 โครงการหลัก คือ 1. Traffy Fondue แพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมือง ปฏิรูปการร้องเรียน เชื่อมต่อทุกปัญหา เชื่อมโยงประชาชนเข้ากับหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่ เพื่อยกระดับสังคมเมืองให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ปัจจุบันมี 23 จังหวัดใช้งานทุกหน่วยราชการ ผ่านการรับเรื่องแจ้งทั่วประเทศมากกว่า 1 ล้านเรื่อง ครอบคลุมประชากรมากกว่า 30 ล้านคน คิดเป็น 45% ของประชากรทั่วประเทศ ขยายผลการใช้งานแล้วมากกว่า 15,000 หน่วยงาน

2. ทุ่งกุลาม่วนซื่น ส่งเสริมเกษตรกร/ผู้มีรายได้น้อย ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี สินค้าเกษตรในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ มากกว่า 5,000 คน 40 หน่วยงาน ยกระดับสินค้าเกษตรและอาหารมูลค่าสูงผ่านกลไก ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ เกิด 10 ผลิตภัณฑ์ สร้างรายได้ชุมชนมากกว่า 82 ล้านบาท ช่วยสร้างห่วงโซ่อุตสาหกรรมถั่วเขียวแบบครบวงจร นำผู้ประกอบการพบผู้ปลูก เสริมสร้างความมั่นใจว่า ปลูกแล้วมีผู้รับซื้อแน่ ช่วยพลิกผืนดินทุ่งกุลาร้องไห้ ให้เป็น “ทุ่งกุลาม่วนซื่น อยู่ดี มีแฮง”

3. แพลตฟอร์มสนับสนุนการเข้าถึงสารสนเทศและการสื่อสาร สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ สนับสนุนการเข้าถึงสารสนเทศและการสื่อสารของคนพิการ แพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อบริการสื่ออ่านง่ายสำหรับบุคคลที่บกพร่องทางการรับรู้ เพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารสร้างงานและสร้างโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียม มีหน่วยงานนำไปใช้ประโยชน์มากกว่า 130 หน่วยงาน ผู้ได้รับประโยชน์มากกว่า 142,000 คน จากล่ามภาษามือทางไกล คำบรรยายแทนเสียง สื่อดิจิทัลที่เข้าถึงโดยสะดวกถ้วนหน้ากว่า 800 เรื่อง

สิ่งแวดล้อมยั่งยืน

และมิติที่ 4 สร้างความยั่งยืนของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มี 2 โครงการหลัก คือ 1. การพัฒนาตัวชี้วัดและฐานข้อมูล CO2 , CE, SDGs เพื่อการค้าและความยั่งยืน โดยศูนย์เอ็มเทค สร้างฐานข้อมูลพัฒนาตัวชี้วัดสำคัญเพื่อสนับสนุนแนวทาง SDGs ปรับปรุงฐานข้อมูลวัฎจักรชีวิตระดับประเทศ สนับสนุนภาครัฐและภาคเอกชน นำพาประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ลดการกีดกันทางการค้า โดยผลักดันให้มีผู้ใช้ประโยชน์มุ่งสู่ NET ZERO 180 หน่วยงาน สนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)  มากกว่า 7 แสนตัน สร้างผลกระทบมากกว่า 5,500 ล้านบาท และช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมไทยสู่ตลาดโลกด้วยฐานข้อมูลเพื่อตอบมาตรการ CBAM สำหรับอุตสาหกรรมอะลูมิเนียม เหล็ก และอุตสาหกรรมอื่น ๆ ในอนาคต

2. Industry 4.0 Platform แพลตฟอร์มรวบรวมบริการและกิจกรรมช่วยผู้ประกอบการไทย ใช้เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิตลดต้นทุนการผลิตและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน จากค่าเฉลี่ยโรงงานในประเทศอยู่ระดับ 2.5 เท่านั้น โดย สวทช. สนับสนุนโรงงานอุตสาหกรรมประเมินอุตสาหกรรม 4.0 ด้วยตัวเอง (Self-assessment) ผ่านการใช้งานระบบ Thailand i4.0 CheckUp มากกว่า 405 ราย

ทั้งนี้มีเป้าหมายเพิ่มให้ได้ 5,000 รายภายในปี 2571 โดยมีศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) ช่วย Upskill/Reskill ผลักดันอุตสาหกรรมไทยให้ก้าวสู่ความยั่งยืน และยังดำเนินงานโครงการ IDA (Industrial IoT and Data Analytics) Platform เพื่อยกระดับโรงงานอุตสาหกรรม ได้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดการใช้ทรัพยากร

ยกตัวอย่างความสำเร็จของบริษัท ธนากรผลิตภัณฑ์น้ำมันพืช จำกัด (โรงงานน้ำมันกุ๊ก) ที่ช่วยยกระดับภาคการผลิต เกิดการลงทุนด้าน วทน. ในโรงงาน 1 ล้านบาท สร้างผลประโยชน์ 102 เท่าของเงินลงทุน ลดความสูญเสียกำลังการผลิต 126 ล้านบาท และโรงงาน THE PETCO ที่ช่วยวางแผนการใช้พลังงานไฟฟ้าสร้างผลกระทบและการลงทุนเพิ่มมากกว่า 1 ล้านบาท สร้างผลประโยชน์ 1.4 เท่าของเงินทุน ช่วยประหยัดพลังงาน เพิ่มกําลังการผลิต สร้างความเสถียรของระบบและผลิตภัณฑ์

“แต่ละโครงการ ประชาชนต้องได้ใช้ประโยชน์ผ่านหน่วยงานรัฐและภาคเอกชน ที่มีหน้าที่โดยตรง และต้องการนำผลงานของ สวทช. ไปขยายผล คือเป้าหมายที่ทำให้งานวิจัยเข้าถึงประชาชนจำนวนมาก และถึงผู้ใช้ประโยชน์จริง ซึ่ง สวทช. และหน่วยงานพันธมิตรตั้งใจร่วมกันสร้างความเข้มแข็งให้แก่ระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรม เพื่อเป็นขุมพลังในการเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานราก พัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนคนไทยอย่างทั่วถึง และสร้างความเข้มแข็งให้แก่ความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ด้วย วทน. เพื่อการพัฒนาประเทศไทยที่ยั่งยืน”

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ไอบีเอ็ม ชี้ปี 2025 ปีแห่งการทำ AI Transformation ในประเทศไทย

โนบิทเทอร์ ผนึก ‘จุฬาฯ-ลาดกระบัง-ปัญญาภิวัฒน์’ พัฒนานวัตกรรมการเกษตรแนวตั้ง ยกระดับเกษตรไทย

×

Share