Share on
×

Share

AI เปลี่ยนโลกธุรกิจ: แนะองค์กรเร่งปรับตัว เพิ่มทักษะ Digital-AI ให้พนักงาน

เมื่อโลกหมุนเร็วขึ้นจาก AI, Automation และ Digital Transformation องค์กรที่ยืนหยัดได้คือองค์กรที่ ‘เปลี่ยนแปลงก่อน’ AI เรียนรู้ได้เร็วกว่าเดิม คนทำงานจะต้องปรับตัวอย่างไร? องค์กรต้องสร้างวัฒนธรรมแบบไหนเพื่อให้อยู่รอด? และทักษะอะไรที่คนรุ่นใหม่ต้องมีเพื่อเป็นที่ต้องการของตลาด? เป็นประเด็นที่ ttb นำมาเสนอในงาน ttb spark REAL change

ในหัวข้อ “Digital Transformation: Spark the Future” เปลี่ยนแปลงองค์กรไปในทิศทางใหม่จากประสบการณ์จากแบรนด์ชั้นนำ โดยฐากร ปิยะพันธ์ President, ttb ศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร CEO & Director, MFEC ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ Managing Director, Microsoft Thailand และดร.วิโรจน์ จิรพัฒนกุล Co-Founder & Managing Director, Skooldio ที่ได้แนะนำความสำคัญของ AI เทรนด์ที่องค์กรต้องปรับตัวตาม รวมไปถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับคนรุ่นใหม่สายงานเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ

AI ไม่ใช่เรื่องของอนาคต แต่เป็นเรื่องของธุรกิจ

ในทุกอุตสาหกรรมและทุกมุมโลก เทคโนโลยีกำลังกลายเป็นแกนหลักของการขับเคลื่อนองค์กร เมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนเร็ว องค์กรและบุคลากรต้องเปลี่ยนไปอย่างไร เพราะมีแนวโน้มที่สูงว่า AI ไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือ แต่เป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดอนาคตของธุรกิจ

ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ Managing Director, Microsoft Thailand ชี้ว่า ในเวทีระดับโลกอย่าง Economic Forum หนึ่งในคำถามสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือ “อะไรคือกุญแจสำคัญที่ทำให้โลกเดินหน้าต่อไป?” คำตอบที่ชัดเจนก็คือ “Digital + AI” เพราะทุกวันนี้โลกต้องเผชิญกับแรงกดดันมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical), การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change), ความยั่งยืน (Sustainability) และปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจในทุกอุตสาหกรรมแต่ในความท้าทายเหล่านี้ นวัตกรรม (Innovation) คือพรจากสวรรค์ และ AI กำลังกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ องค์กรที่ไม่ก้าวไปกับ AI อาจล้าหลังตามคู่แข่งอย่างทิ้งห่างก็เป็นได้ อุตสาหกรรมที่ยังไม่ปรับตัวเข้าสู่ AI อาจถูกมองว่าเป็น “Old Economy” เพราะในปัจจุบัน AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือเสริม แต่เป็นกลยุทธ์หลักขององค์กรที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

พร้อมแนะแนวทางการนำ AI มาใช้ในองค์กรไว้ว่าสำหรับองค์กรที่กำลังมองหาแนวทางนำ AI มาใช้ การเลือกโมเดล AI ต้องเริ่มจากวัตถุประสงค์ของธุรกิจเป็นหลัก Microsoft ได้พัฒนา AI Foundry ซึ่งเป็นศูนย์รวมโมเดล AI ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่แตกต่างกัน โดยปัจจัยสำคัญที่องค์กรต้องคำนึงถึงเมื่อเลือกใช้ AI ได้แก่ อย่างแรกต้องลดต้นทุนได้ AI ต้องช่วยให้กระบวนการทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นและคุ้มค่ามากขึ้น ต่อมาต้องเพิ่มความแม่นยำให้กับโมเดล AI ต้องให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำและสอดคล้องกับบริบทของธุรกิจ สุดท้ายเพิ่มความเร็วในการใช้งาน AI ที่ต้องสามารถตอบสนองและประมวลผลข้อมูลได้เร็วพอที่จะช่วยให้มนุษย์ตัดสินใจได้ทันเวลา

นับเป็นโชคดีของคน Tech ที่จะได้มีโอกาสสร้าง Impact โดยตรงกับ Business AI ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีเสริม แต่เป็นเครื่องมือหลักที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพโดยเฉพาะในด้าน Productivity ที่สามารถเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของพนักงานและองค์กรได้หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนคือ GitHub Copilot ของ Microsoft ซึ่งช่วยให้โปรแกรมเมอร์สามารถเขียนโค้ดได้เร็วขึ้นถึง 40-50% โดยไม่เพียงแค่ช่วยแนะนำโค้ด แต่ยังสามารถ แปลงโค้ดเป็นเอกสารภาษาไทย ได้แบบอัตโนมัติ ทำให้การพัฒนา Software มีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกตัวอย่างที่น่าสนใจคือการนำ AI ไปใช้ใน Agentic AI หรือ AI Agent ที่องค์กรสามารถพัฒนาเอง อย่างเช่น ttb ที่ได้นำ AI มาใช้ใน “น้องยินดี” ซึ่งเป็น Contact Center อัจฉริยะ รวมถึง “น้อง Hap” ที่ช่วยดึงข้อมูลจากสาขาต่างๆ และนำไปประมวลผลเพื่อตอบคำถามลูกค้าได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วขึ้น

ทีทีบี เปิดตัว ‘ttb spark tech’ ลุยใช้ดิจิทัลโซลูชัน ช่วยลูกค้าจัดการการเงิน ง่าย-สะดวก-ปลอดภัยขึ้น

2 เทรนด์เกี่ยวกับ AI มาแน่นอน

ธนวัฒน์ มองว่า AI ไม่ใช่เพียงเรื่องของนักพัฒนา แต่กำลังกลายเป็นเครื่องมือที่ทุกคนสามารถใช้ได้ แนวโน้มสำคัญที่กำลังเกิดขึ้นคือ

  1. Hybrid Code ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถสร้างซอฟต์แวร์และ AI Agent ได้ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นโปรแกรมเมอร์ระดับสูง รวมไปถึง Low Code / No Code ทำให้แม้แต่ผู้ใช้ทั่วไปก็สามารถสร้างแอปพลิเคชันที่ใช้ AI ได้ การหา API และเครื่องมือ AI ช่วยให้ธุรกิจสามารถพัฒนาโซลูชันของตัวเองได้ง่ายขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน AI ไม่ได้เข้ามาแทนที่คน แต่เข้ามาช่วยลดงานที่ซ้ำซ้อน เพิ่มความเร็ว ลดต้นทุน และปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น
  2. AI + Experimentation เป็นการนำ AI มาใช้จริงในธุรกิจจะไม่ใช่แค่แนวคิด แต่เป็นการลงมือทำ เราจะเห็นการนำ AI มาสร้าง Impact กับธุรกิจจริงมากขึ้น โดยเฉพาะในด้าน Customer Experience และ Data-Driven Decision Making สำหรับประเทศไทย แม้จะถูกมองว่ามีการปรับใช้ AI ช้ากว่าประเทศอื่น แต่จริงๆ แล้ว นี่คือโอกาสอันยิ่งใหญ่ เพราะองค์กรต่างๆ กำลังมีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ที่สามารถนำ AI ไปช่วย เพิ่มประสิทธิภาพ และขยายขีดความสามารถของธุรกิจได้อย่างมหาศาล ตัวอย่างเช่น ttb ที่มีลูกค้ากว่า 10 ล้านราย ซึ่ง AI สามารถเข้ามาช่วย ปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า (CX), ปรับแต่งบริการให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล (Personalization) และเพิ่มประสิทธิภาพของพนักงานได้

AI จะไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่จะเป็นสมาชิกในทีมของคนทำงาน

โลกของการทำงานกำลังเปลี่ยนไป AI คือแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เกิด Transformation ในทุกระดับขององค์กร AI จะไม่ใช่แค่เครื่องมือแต่มันจะเป็นสมาชิกในทีมของเรา

ศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร, CEO & Director ของ MFEC เน้นย้ำว่า การนำ AI มาใช้ให้เกิดผลลัพธ์ที่แท้จริงต้องอาศัย 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ People, Process และ Technology หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนคือ การจัดการข้อมูลภายในองค์กรหากองค์กรมีข้อมูลแบบ แยกเป็นแผนก (Departmental Data) แล้วแต่ละแผนกพยายามสร้าง AI ของตัวเอง ผลลัพธ์ที่ได้คือ AI ที่ไม่ฉลาดพอ, ต้นทุนสูง, และต้องทำซ้ำหลายครั้งวิธีที่ดีกว่าคือ การรวมศูนย์ข้อมูล และให้ AI ตัวเดียวทำงานกับข้อมูลทั้งองค์กร ซึ่งช่วยลดต้นทุนและทำให้ AI สามารถตัดสินใจได้อย่างแม่นยำขึ้น

องค์กรที่สามารถผสาน AI เข้ากับการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพจะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างมากตรงกันข้ามคนที่ไม่ใช้ AI หรือไม่สามารถปรับตัวได้จะเกิด “Digital Divide” หรือช่องว่างทางเทคโนโลยี ที่ทำให้โอกาสและประสิทธิภาพการทำงานแตกต่างกันอย่างชัดเจนพนักงานที่สามารถปรับตัวและทำงานร่วมกับ AI ได้จะสามารถรับมือกับงานที่ท้าทายได้ดีกว่า และพร้อมเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจ ตัวอย่างง่าย ๆ ของ AI ที่ช่วยเพิ่ม Productivity เรื่อง AI Summarization จากเดิมที่การประชุมต้องมี PowerPoint 60 หน้า ตอนนี้ AI สามารถสรุปเนื้อหาได้ภายในไม่กี่วินาที หรือ AI Assistants เลขาฯ ที่ต้องประสานงานกับหลายฝ่ายสามารถใช้ AI ช่วยจัดการข้อมูล สื่อสารข้ามภาษา และลดภาระงานซ้ำซ้อน เป็นต้น

ซึ่งสอดคล้องกับ ธนวัฒน์ ที่เห็นว่า “AI ที่ดีไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนใช้มัน” แม้ว่าทุกคนจะสามารถใช้โมเดล AI เดียวกันได้ แต่ผลลัพธ์ที่ได้จะขึ้นอยู่กับ ประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ และวิธีที่เรานำ AI ไปใช้ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ ช่างภาพที่ใช้ AI ในการสร้างภาพถ่ายระดับรางวัล แม้จะใช้เทคโนโลยีเดียวกับคนอื่น แต่ความเชี่ยวชาญกว่า 30 ปีในสายงานของเขา ทำให้สามารถใช้ AI เพื่อเสริมทักษะและสร้างสรรค์ผลงานที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง แสดงให้เห็นถึงการใช้งาน AI ร่วมกับ Human Creativity เป็นผู้ช่วยอัจฉริยะที่ช่วยแบ่งเบาภาระงานบางส่วน เพื่อให้สมองของเรามีพื้นที่สำหรับความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น มันหมือนการ Force Behavior Change & Force Mindset Change จะกลายกุญแจสู่การ Empower บางสิ่งบางอย่างในอนาคต เนื่องจากพฤติกรรมและทัศนคติที่เปิดรับสิ่งใหม่ๆ จะช่วยให้ตัวเราพัฒนาทักษะที่สร้างคุณค่าให้กับตนเองหรือองค์กรได้อย่างก้าวกระโดด

องค์กรต้องเร่ง Adopt AI เพื่อเสริมศักยภาพของบุคลากร ไม่ใช่แทนที่พนักงาน

สำหรับองค์กรที่ต้องการสร้างวัฒนธรรมดิจิทัล (Digital Culture) แต่กลับพบว่าพนักงานและผู้บริหารตามเทคโนโลยีไม่ทัน ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า องค์กรจะทำอย่างไรให้ทีมสามารถนำเทคโนโลยีมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งในด้านความเร็ว ต้นทุน และผลตอบแทน (ROI) มีแนวทางดังนี้

ดร.วิโรจน์ จิรพัฒนกุล Co-Founder & Managing Director, Skooldio ชี้ให้เห็นว่า หนึ่งในปัญหาที่ต้องแก้ไขสำคัญ คือการทำให้ผู้นำองค์กรเข้าใจและสนับสนุนการนำเทคโนโลยีมาใช้ เพราะในหลายกรณี CEO หรือผู้บริหารระดับสูงไม่ได้เป็นผู้ที่ริเริ่มติดตามเทรนด์เทคโนโลยี การขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจึงต้องอาศัยการสื่อสารและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ด้วยการเริ่มต้นจากมุมมองภาพใหญ่ ก่อนนำเทคโนโลยีมาใช้จริง

การนำ AI หรือเครื่องมือดิจิทัลมาใช้ในองค์กรไม่ใช่แค่การนำเครื่องมือเข้ามาใช้งานแต่ต้องเริ่มจากการสร้างความเข้าใจร่วมกันในองค์กร สื่อสารแนวคิดและผลลัพธ์ที่คาดหวัง สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานร่วมกัน ทดลองใช้เทคโนโลยีแบบค่อยเป็นค่อยไป เก็บ Feedback มาปรับปรุงแก้ไขการใช้งาน เมื่อองค์กรเริ่มปรับตัวและนำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการทำงานได้แล้ว จึงสามารถขยับไปสู่ขั้นตอนของ Digital Transformation ได้อย่างมั่นคง

นอกจากองค์กรที่ต้องปรับตัวแล้ว บุคลากรยุคใหม่ก็ต้องพัฒนาแนวคิดและทักษะให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกเทคโนโลยีด้วยเหมือนกัน

  1. ฝึก Critical Thinking ทักษะการคิดวิเคราะห์เป็นสิ่งสำคัญ เพราะในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คนที่สามารถตั้งคำถามและจับประเด็นได้ดีจะได้เปรียบ
  2. เสริมสร้าง Learning Mindset เทคโนโลยีใหม่ ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา คนที่ประสบความสำเร็จคือต้องพร้อมเรียนรู้และปรับตัวตลอดเวลา
  3. เลี่ยงกับดักของ Productivity และ Efficiency จนขาดความคิดสร้างสรรค์ อย่าให้การเสพสื่อที่รวดเร็วทำให้เราหยุดคิด วิเคราะห์ และต่อยอดไอเดียใหม่ ๆ

สอดคล้องกับฐากร ที่มองว่า AI จะกลายเป็นตัวคูณศักยภาพมนุษย์และแนวทางการ Up-skill Re-skill ในองค์กร สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้เราได้ด้วยประสบการณ์และความคิดสร้างสรรค์ หนึ่งในอุปสรรคสำคัญของบุคลากรรุ่นใหม่ คือ แนวทางการศึกษาที่ยังเน้นการจดจำมากกว่าการประยุกต์ใช้ ในขณะที่ AI กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับอนาคต เด็กไทยจำเป็นต้องพัฒนาทักษะที่สำคัญ 3 อันดับแรก มการประกาศของ World Economic Forum อย่างแรก Data & AI : การเข้าใจและใช้งาน AI และข้อมูลให้เกิดประโยชน์สูงสุด ต่อมา Critical Thinking : การคิดเชิงวิเคราะห์เพื่อแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ และสุดท้าย Creativity : ความสามารถในการสร้างสรรค์และคิดนอกกรอบ ทั้งหมดล้วนเป็นการพัฒนาจาก Mindset ที่เด็กและบุคลากรรุ่นใหม่ต้องไม่มองว่า AI เป็นสิ่งที่มาแย่งงาน แต่เป็นเครื่องมือที่ต้องใช้ให้เป็น ใช้ให้เก่ง และต่อยอดไปให้ไกล สิ่งที่ทำให้บุคคลโดดเด่นกว่าคนอื่นคือ การมีทักษะเฉพาะทางและสามารถใช้ AI เป็นเครื่องมือในการเสริมศักยภาพของตนเอง

แนวทางการทำงานกับคน Tech รุ่นใหม่

สำหรับเด็กรุ่นใหม่ โดยเฉพาะบัณฑิตจบใหม่ การเข้าทำงานในองค์กรขนาดใหญ่ถือเป็นความท้าทายสำคัญ หนึ่งในประเด็นหลักที่เกิดขึ้นคือ Senior ในองค์กรจะเริ่มเปรียบเทียบระหว่างการใช้งานมนุษย์กับ AI เนื่องจาก AI สามารถทำงานได้โดยไม่มีข้อจำกัดของ Work-Life Balance สิ่งนี้ทำให้เด็กรุ่นใหม่ต้องพัฒนาทักษะสำคัญ 3 กลุ่มเพื่อให้สามารถแข่งขันและเติบโตไปในองค์กรได้

ดร.วิโรจน์ให้แนวทางการพัฒนาทักษะไว้ 3  กลุ่มที่เด็กรุ่นใหม่ต้องเรียนรู้และรีบปรับตัว ได้แก่

  1. Digital Literacy : ทักษะการรู้เท่าทันเทคโนโลยี จากเดิมที่ความรู้พื้นฐานคือ “อ่านออกเขียนได้” และความเข้าใจในภาษา ปัจจุบันเด็กรุ่นใหม่ต้องพัฒนา Digital Literacy ซึ่งหมายถึงความสามารถในการเข้าถึงและใช้งานเทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมไปถึงการเลือกใช้ข้อมูลจากเทคโนโลยีเพื่อช่วยในการตัดสินใจในการทำงาน ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับ AI และการนำ AI มาใช้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน และการเป็น Digital Native ที่สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและต่อยอดให้เกิดประโยชน์สูงสุด
  2. Personal Capabilities : ทักษะที่มนุษย์ยังคงได้เปรียบ AI แม้ว่า AI จะสามารถทำงานได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว แต่มนุษย์ยังมี ทักษะที่ AI ไม่สามารถทดแทนได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรพัฒนา การใช้งาน AI ให้ดีกว่าคนอื่น Soft Skills – การสื่อสาร โน้มน้าว และสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น เป็นสิ่งที่ AI ทำไม่ได้ และความสามารถในการทำงานร่วมกับทีมการสร้างความเชื่อใจและความเป็นทีมเวิร์กจะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  3. Advanced Technology : ทักษะด้านเทคโนโลยีขั้นสูงจะกลายเป็นที่ต้องการมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นฝั่งของ Front-end หรือ Back-end ขององค์กร การแก้ปัญหาเชิงซับซ้อน ด้วยเทคโนโลยีและเครื่องมือดิจิทัล การรักษาความปลอดภัยของข้อมูล (Cybersecurity) ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญสำหรับองค์กร รวมถึงการเรียนรู้โมเดลการทำงานขององค์กรและการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพต่อไป

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

SCB วาง 3 กลยุทธ์ ตั้งเป้าขึ้นแท่นเบอร์ 1 ธุรกิจ Wealth ในปี 69

เปิดตัวเพจ “Wisdom on the House” พื้นที่เรียนรู้ฟรี ที่ใครก็เข้าถึงได้

×

Share

ผู้เขียน