Share on
×

Share

“เครื่องบินส่งมอบช้า” ฉุดการบินไทยขยายตลาด ลุ้นนำหุ้นกลับเข้าเทรด มิ.ย.นี้ หลังออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ

ในทุก ๆ ปี ตัวเลขนักท่องเที่ยวและนักเดินทางเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้อุตสาหกรรมการบินมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงมาโดยตลอด แต่ล่าสุด ผู้คนในวงการกลับมองว่า ในช่วง 1-3 ปีนี้ การแข่งขันไม่น่าจะรุนแรง เพราะทุกสายการบินต้องเผชิญกับปัญหาจำนวนเครื่องบินไม่เพียงพอต่อความต้องการ

สายการบินแห่งชาติอย่างการบินไทยก็ประสบปัญหาดังกล่าว แม้ว่าความต้องการเดินทางจะสูงขึ้นในหลายเส้นทาง แต่ก็ไม่สามารถเพิ่มเที่ยวบินหรือเปิดเส้นทางใหม่ได้ แต่ผู้บริหารก็เชื่อว่าการบินไทยมีความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น และพร้อมเดินหน้าออกจากแผนฟื้นฟูกิจการและนำหุ้นบริษัทฯ กลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ในกลางปีนี้

ดีมานด์เพิ่ม แต่ซัพพลายไม่พอ

ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า ภาพรวมธุรกิจของการบินไทยปี 2568 โดยทั่วไปอยู่ในสภาวะที่ดี  ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมามีกำลังการผลิตประมาณ 85% แต่ข้อจำกัดคือจำนวนเครื่องบินที่มีเพียง 79 ลำ แม้จะมีการตกลงเช่าเพิ่มเติมแต่การส่งมอบเกิดความล่าช้า เพราะฉะนั้นเมื่อจำนวนเครื่องบินยังไม่มากพอ จึงเป็นข้อจำกัดในการขยายตัวทางธุรกิจของการบินไทย

“ผมเชื่อว่าความสามารถในการแข่งขันของการบินไทยยังเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ เพราะต้นทุนลดลงมาก ถ้าสามารถรักษาต้นทุนเดิมได้ก็ไปต่อได้” ปิยสวัสดิ์กล่าว

ส่วนกรณีที่จำนวนนักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวไทยน้อยลงและไม่มากเท่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19 นั้น ปิยสวัสดิ์มองว่า ตอนนี้มีหลายตลาดที่มีจำนวนผู้โดยสารเดินทางกันมาก เช่น ตลาดยุโรปและญี่ปุ่น แต่เราก็ไม่สามารถเพิ่มเที่ยวบินได้ เพราะไม่มีเครื่องบินรองรับพอ จำนวนเครื่องบินของเราถูกจำกัดเพราะการส่งมอบที่ล่าช้า ทำให้เราไม่สามารถเพิ่มจุดหมายปลายทางใหม่ ๆ ได้

Thai-air-way-Business-overview-info

เชื่อธุรกิจการบินแข่งขันไม่รุนแรง

ด้านชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) แสดงความมั่นใจว่าการบินไทยจะมีความสามารถในการทำกำไรจากการดำเนินธุรกิจในปี 2568 เพราะพิสูจน์มาแล้วว่า นโยบายหรือกลยุทธ์ที่นำมาใช้ในการดำเนินงานในปี 2566 – 2567  ไม่ว่าจะเป็นการหารายได้ วิธีการขายแบบสร้างเครือข่ายดิจิทัลที่ทำไปแล้วก็จะยังทำต่อไป ส่วนต้นทุนนั้น เรามีเป้าหมายร่วมกันทั้งองค์กรว่าจะมีการควบคุมจำนวนบุคลากรและสัดส่วนค่าใช้จ่ายว่าเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ ซึ่งตอนนี้ก็ยังเป็นไปตามเป้าหมาย

“คนในวงการอุตสาหกรรมการบินต่างยอมรับว่าการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจการบินปี 2568-2570 ยังไม่น่าเกิดขึ้นในระยะเวลาอันสั้น เพราะปัญหาซัพพลายหรือเครื่องบินใหม่ยังไม่เข้ามาในตลาดได้เร็วตามที่คาดคิด ผู้ผลิตทั้งเครื่องยนต์และอะไหล่ก็ยังมีปัญหา” ชายกล่าว

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่การบินไทยต้องเผชิญหลังออกจากแผนฟื้นฟูก็มีราคาน้ำมันและอัตราแลกเปลี่ยน แต่บริษัทฯ ก็เตรียมพร้อมรับมือด้วยการวางแผนบริหารความเสี่ยงไว้แล้ว ชายชี้ว่า ปัจจัยการแข่งขันในตลาดไม่ใช่ความเสี่ยง เพราะทุกสายการบินมีปัจจัยทางการตลาดเหมือนกัน แต่จะทำอย่างไรให้เรามีความสามารถในการแข่งขันได้ดีกว่าคู่แข่ง ซึ่งสายการบินไทยได้เปรียบเพราะอยู่ในประเทศไทย โดยเฉพาะฐานตลาดบ้านตัวเอง หรือ Home Base Market ที่มีขนาดใหญ่พอ ส่วนที่จะเสริมได้คือ การขายเครือข่ายให้มากขึ้น ใช้กรุงเทพฯ เป็นฮับให้มากขึ้น ก็จะเพิ่มรายได้เพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่ทิ้งนโยบายการขายแบบ Point to Point หรือจุดต่อจุด

เตรียมเพิ่มเที่ยวบินหลังรับมอบเครื่องบินใหม่

การบินไทยคาดว่าปลายไตรมาส 3 ของปี 2568 จะสามารถรับเครื่องบินใหม่เข้ามาเพิ่ม 9 ลำ โดยแบ่งเป็น Airbus 330 จำนวน 7 ลำ A321 และ A330-300 อย่างละ 1 ลำ ซึ่งชายกล่าวว่า จะทำให้บริษัทฯ มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 2% โดยเมื่อมีการรับมอบเครื่องบินเหล่านี้ บริษัทฯ จะนำไปเพิ่มความถี่ในจุดบินที่มีศักยภาพ เช่น จีน อินเดีย ญี่ปุ่น และเยอรมนี เพื่อทำให้ภาพรวมผู้โดยสารปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 16.5 ล้านคน จาก 16 ล้านคนในปีที่แล้ว

ปัจจุบันการบินไทยและบริษัทย่อย มีเครื่องบินที่ใช้ทำการบินรวมทั้งสิ้น 79 ลำ แบ่งเป็นแบบลำตัวกว้างและลำตัวแคบ จำนวน 59 ลำ และ 20 ลำตามลำดับ โดยตารางบินฤดูหนาว ประจำปี 2568 ของบริษัทฯ วางแผนทำการบินไปยัง 64 จุดบินเช่นเดียวกับในปี 2567 แต่มีจำนวนเที่ยวบินทั้งหมด 883 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ หรือเพิ่มขึ้น 40 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ จากปี 2567 ที่มี 843 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เพื่อรองรับการเดินทางของผู้โดยสารในเส้นทางบินยอดนิยม รวมถึงรองรับการเดินทางที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนเร่งขยายขนาดฝูงบินให้เพียงพอต่อแผนเส้นทางบิน จำนวนเที่ยวบิน และความต้องการเดินทางของผู้โดยสาร เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการหารายได้ตามแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัทฯ

ด้านกรกฎ ชาตะสิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการพาณิชย์ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงตลาดประเทศจีนว่าเติบโตไม่มาก ตอนนี้มี Capacity การบินเพียง 60% ซึ่งเรามองว่าอาจจะปรับปรุงความถี่และอัตราการบรรทุกผู้โดยสารให้เหมาะสม โดยช่วงแรกจะเพิ่มเที่ยวบินใน 2 เมืองคือ ปักกิ่งและกวางเจา จาก 7 เที่ยวบินเป็น 14 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ตลาดสำคัญอีกที่คือ อินเดีย เราจะปรับความถี่ของเที่ยวบินไปมุมไบจาก 11 เที่ยวบินเป็น 14 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ในช่วงหน้าหนาว และเมื่อมีการส่งมอบเครื่องบินใหม่ในช่วงปลายปี เราก็จะเพิ่มเที่ยวบินไปมิวนิคจาก 7 เป็น 14 เที่ยวต่อสัปดาห์ รวมถึงเที่ยวบินไปปากีสถานที่เป็นตลาดที่มีการเติบโต เราก็อยากจะเพิ่มจำนวนเที่ยวบินในทุกๆ เมืองของปากีสถาน

Thai-air-way-Business-overview-info2

เผยแผนออกจากฟื้นฟูกิจการ เม.ย.นี้

ส่วนความคืบหน้าของการนำบริษัทฯ ออกจากแผนฟื้นฟูกิจการนั้น ปิยสวัสดิ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการดำเนินการตามแผนฟื้นฟู 4 เงื่อนไข ประกอบด้วย 1.จดทะเบียนเพิ่มทุนเพื่อรองรับการปรับโครงสร้างทุน 2. ไม่ผิดนัดชำระหนี้ 3. EBITDA หรือ กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจากการดำเนินงาน ไม่น้อยกว่า 20,000 ล้านบาทในรอบ 12 เดือนย้อนหลัง และมีส่วนของผู้ถือหุ้นเป็นบวก และ 4. การแต่งตั้งกรรมการใหม่ ซึ่งจะมีการเสนอรายชื่อให้ผู้ถือหุ้นรับรองในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น วันที่ 18 เม.ย. 2568

สำหรับกรอบการดำเนินการเพื่อยื่นออกจากแผนฟื้นฟูกิจการนั้น คาดว่าภายในเดือนเม.ย. จะยื่นต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อขอออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ และภายในเดือนพ.ค. ศาลล้มละลายกลางน่าจะอนุมัติการขอยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ และคาดว่าภายในเดือนมิ.ย. หุ้นของบริษัทฯ น่าจะกลับไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้

ปี 67 ขาดทุน 26,901 ล้านบาท

การบินไทยประกาศผลการดำเนินงานสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ว่า มีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 187,989 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ซึ่งมีรายได้รวม 161,067 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 16.7% ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) อยู่ที่ 41,515 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ซึ่งมีกำไร 40,211 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 3.2% แต่หลังจากปรับโครงสร้างธุรกิจ ซึ่งมีผลทางบัญชี ทำให้การบินไทยมีผลขาดทุน 26,901 ล้านบาท แต่ทางผู้บริหารยืนยันว่าตัวเลขดังกล่าวไม่ได้เป็นการสะท้อนการดำเนินงานที่แท้จริง เพราะเป็นรายการทางบัญชีที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ  

เตรียมเซ็น MOU ลงทุนในโครงการ MRO

ชาย ยังเปิดเผยว่า ในเร็ว ๆ นี้ การบินไทยจะลงนาม MOU กับบางกอกแอร์เวย์สเพื่อร่วมศึกษาและร่วมลงทุนในโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน หรือ MRO ที่สนามบินอู่ตะเภา มูลค่าโครงการ 1 หมื่นล้านบาท โดยทาง EEC เปิดให้ผู้ประกอบการไทยยื่นข้อเสนอโครงการ MRO เพราะต้องการให้ศูนย์ซ่อมแห่งนี้เป็นการลงทุนของคนไทยเป็นหลัก โดยการบินไทยจะเป็นผู้ลงทุนหลัก เนื่องจากมีความเชี่ยวชาญในธุรกิจนี้

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

เปิดตัวเพจ “Wisdom on the House” พื้นที่เรียนรู้ฟรี ที่ใครก็เข้าถึงได้

READY ปี 67 ทำนิวไฮ รายได้รวมทะลุ 195 ล้านบาท กำไรสุทธิเกือบ 41 ล้านบาท

×

Share

ผู้เขียน