เพียงแค่ไม่กี่วันหลังเทศกาลตรุษจีน นักลงทุนทั่วโลกได้หันกลับมาให้ความสนใจในหุ้นจีนอีกครั้ง โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีจีน หลังจากที่การเปิดตัว DeepSeek ทำให้โลกหันมาจับจ้องความเหนือชั้นของพี่จีนที่คาดไม่ถึงทีเดียว
การเปิดตัว DeepSeek ถือเป็นก้าวสำคัญของจีนในอุตสาหกรรม AI เพราะเป็นโมเดลที่ได้รับการพัฒนาให้มี ประสิทธิภาพเทียบเคียงกับผู้นำระดับโลก อย่าง ChatGPT ของ OpenAI แต่ที่น่าสนใจคือ DeepSeek มี ค่าบริการที่ถูกกว่าคู่แข่งในตลาดถึงสิบเท่า ซึ่งทำให้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ถึงขั้นสามารถ ขึ้นครองอันดับ 1 ในยอดดาวน์โหลดของสหรัฐฯ แซงหน้า ChatGPT นี่ถือเป็นสัญญาณชัดเจนว่า AI จีนไม่ได้เป็นเพียงผู้ตาม แต่กำลังก้าวขึ้นมาแข่งขันในระดับโลก
นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังส่งสัญญาณสนับสนุนอุตสาหกรรม AI อย่างต่อเนื่อง โดยประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้จัดประชุมร่วมกับผู้ก่อตั้งธุรกิจชั้นนำของจีน เช่น Alibaba, Tencent และ BYD ซึ่งสะท้อนว่าเทคโนโลยี AI ไม่ใช่แค่กระแสระยะสั้น แต่เป็นหนึ่งในทิศทางหลักที่รัฐบาลให้ความสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจระยะยาว
โรเบิร์ต ลี นักวิเคราะห์จากบลูมเบิร์ก อินเทลลิเจนซ์ (Bloomberg Intelligence) มองว่า “การรับรองในระดับสูงเช่นนี้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน ซึ่งมองว่าภาคเทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต”
เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ในช่วงก่อนหน้านี้นักลงทุนอาจจะประเมินศักยภาพการเติบโตของเทคฯ จีนต่ำเกินไปจนมองข้ามหุ้นดีๆ ราคาถูก โดย Valuation ของหุ้นจีน ยังอยู่ระดับที่ต่ำเมื่อเทียบกับหุ้นทั่วโลก และแนวโน้มการเติบโตของกำไร (EPS Growth) มีโอกาสจะทำนิวไฮได้ในระยะเวลา 3-5 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ ในปี 2565 เป็นปีสุดท้ายที่หุ้นเทคฯ จีนร่วงหนักลงสู่ Bottom ของตลาด และปี 2567 หุ้นจีนเริ่มมีทิศทางปรับตัวขึ้นมาได้ราว 30-40% รับข่าวดีรัฐบาลจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ช่วงปลายเดือนก.ย. 2567 ที่ผ่านมา
สำหรับคนที่เชียร์หุ้นจีนมานาน ผมมองว่าเวลานี้ AI จะเป็นเมกะเทรนด์ระยะยาวของจีน โดยเฉพาะในกลุ่ม เซมิคอนดักเตอร์, คลาวด์คอมพิวติ้ง และแพลตฟอร์ม AI ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของ AI ในอนาคต
แนวโน้มหุ้นเทคโนโลยีจีนที่ผ่านมาเป็นอย่างไร หุ้นตัวไหนที่น่าสนใจ วันนี้ผมอยากมาฉายภาพให้ดูกันสักนิด
ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา หุ้นเทคจีนต้องเผชิญกับแรงกดดันหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น การกำกับดูแลจากภาครัฐ (Regulation) หรือ ปัจจัยเศรษฐกิจในประเทศ ทำให้ราคาหุ้นปรับฐานค่อนข้างแรง ที่จำได้ดีคือการหายตัวไปของ Jack Ma ในช่วงปี 2563 ก็เป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ของหุ้นจีนเวลานั้น แต่ปัจจุบันเริ่มเห็นสัญญาณเชิงบวกมากขึ้น จากทั้งรัฐบาลจีนเองที่จะมีการผ่อนคลายกฎระเบียบกับบริษัทเทคโนโลยีมากขึ้น รวมถึงกระแส AI ที่ช่วยหนุนหุ้นเทคให้มีโอกาสในการเติบโตต่อไปได้
ทุกวันนี้จะเห็นว่าเทรนด์การลงทุนในเทคโนโลยีมีการกระจายตัวจากตะวันตกมายังเอเชียมากขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความพยายามในการเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองไม่ว่าจะเป็นประเทศจีนหรืออินเดียก็ดี ขณะที่ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ ทำให้จีนต้องลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตก ซึ่งรัฐบาลจีนเองก็มีนโยบายสนับสนุนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และ AI โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ จีนให้การสนับสนุนบริษัทอย่าง SMIC (981.HK) ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปหลักของจีน และมีโอกาสเติบโตในระยะยาว เนื่องจากรัฐบาลต้องการลดการพึ่งพา Nvidia หรือ TSMC นั่นเอง
ดังนั้น หากมองในมุมของนักลงทุน การกระจายพอร์ตมายังหุ้นเทคในเอเชียอาจเป็นโอกาสที่น่าสนใจ โดยเฉพาะหุ้นที่ได้รับอานิสงส์จากการพัฒนา AI และการเติบโตของตลาดดิจิทัลในเอเชีย
จริง ๆ แล้วหุ้นเทคโนโลยีจีนที่น่าสนใจมีไม่น้อยเลยครับ แต่วันนี้ผมอยากมายกตัวอย่างบริษัทที่น่าสนใจให้คุณได้เห็นภาพสักเล็กน้อย
- Alibaba (BABA / 9988.HK) – ที่มีการพัฒนา AI Cloud และ Large Language Model (LLM) ของตัวเอง และยังมีการประกาศความร่วมมือกับ Apple ในการนำ AI ของ Alibaba มาใช้ใน iPhone รุ่นใหม่สำหรับตลาดจีน
- BYD (1211.HK) – ผู้นำ EV ของจีน ที่จับมือกับ DeepSeek เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติ
- Tencent (0700.HK) – ที่มีการนำ Deepseek มาใช้งานร่วมกับระบบค้นหาข้อมูลในแอปพลิเคชั่น WeChat
หุ้นทั้ง 3 ตัวเป็นเพียงน้ำจิ้มให้คุณทำความรู้จัก จีนยังมีศักยภาพด้านเทคโนโลยีที่คุณคาดไม่ถึงอีกมากมายครับ มองไปแล้วผมเชื่อว่าหุ้นเทคจีนยังมีโอกาสที่จะเติบโตต่อไปได้อีกในระยะยาวครับ แต่สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่อาจจะยังไม่รู้จักมากพออาจต้องเลือกลงทุนอย่างระมัดระวัง โดยเน้นบริษัทที่ มีโมเดลธุรกิจแข็งแกร่ง และได้รับแรงหนุนจากเมกะเทรนด์ เช่น AI, EV และเซมิคอนดักเตอร์
พูดแบบนี้แล้ว คนที่ยังกลัวหุ้นจีนอยู่ ผมก็เข้าใจดีครับ เพราะการลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ และแม้ว่าแนวโน้มของหุ้นเทคโนโลยีจีนจะดูสดใสขึ้น แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่ต้องพิจารณาเช่นกันนะครับแต่ความเสี่ยงของการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีจีนเป็นอย่างไรแล้วนักลงทุนควรคว้าโอกาสนี้อย่างไรผมมองว่ามี 3 ปัจจัยสำคัญนั่นก็คือ ความไม่แน่นอนทางนโยบายของรัฐบาลจีน เพราะแม้ว่าตอนนี้ภาครัฐจะผ่อนคลายลงไปมากแล้ว แต่กฎระเบียบก็อาจเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคตเสมอ ปัจจัยถัดมาคือการแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เพราะแม้จีนจะมีบริษัทเทคฯ ที่แข็งแกร่ง แต่อย่าลืมว่าทุกวันนี้การแข่งขันใน AI, Cloud และ EV ก็ยังคงสูงขึ้นทุกวัน และสุดท้ายคือปัจจัยภายนอก อย่างสงครามการค้า – การควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ อาจเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของบริษัทจีนได้ในอนาคต
แล้วเราจะคว้าโอกาสนี้ไว้อย่างไรให้พอร์ตปลอดภัยไปด้วย ผมก็ยังคงแนะนำให้คุณกระจายการลงทุนให้หลากหลายมากขึ้น เพื่อไม่ให้ตกขบวนรถไฟที่กำลังจะเป็นขาขึ้นไปได้อย่างมั่นคง ด้วยหลักการจัดพอร์ตการลงทุนแบบ “Core & Satellite” ที่คุณๆ สามารถที่จะจัดสัดส่วนของหุ้นเทคโนโลยีจีนไว้ในส่วนของ Satellite Portfolio ตามระดับความเสี่ยงที่คุณรับได้ หากจะให้ผมแนะนำ สัดส่วนไม่เกิน 10% ก็น่าจะเหมาะสมนะครับ แต่คุณคิดว่าสามารถรับความเสี่ยงได้สูง ก็อาจจะเพิ่มหุ้นเทคโนโลยีจีนไว้สัก 15% ก็พอได้อยู่ครับ
ส่วนกลยุทธ์การลงทุน ผมแนะนำการแบ่งเงินเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกใช้ในการ DCA เข้าลงทุนอย่างสม่ำเสมอ และส่วนที่ 2 ใช้เข้าสะสมเวลาที่ตลาดมีการปรับฐานรุนแรงในระยะสั้นได้ครับ
การมีหลักในการลงทุนจะช่วยให้คุณเดินทางในเส้นทางการลงทุนได้อย่างมั่นคงและปลอดภัย ช่วยให้คุณลงทุนได้อย่างมีความสุขในระยะยาวครับ
ไม่ว่ายังไง… ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังเป็นขาขึ้นเสมอ
3 วิธีสร้างวินัย ออมยังไงให้มีเงิน DCA
วางแผนการเงินตามช่วงวัย เริ่มต้นการลงทุนปีใหม่ให้ดีกว่าเดิม