ธุรกิจสตาร์ตอัพได้กลายเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและนวัตกรรมของประเทศไทยในยุคดิจิทัล การส่งเสริมและพัฒนาระบบนิเวศให้เอื้อต่อการเติบโตอย่างก้าวกระโดดจึงเป็นภารกิจที่ทุกภาคส่วนให้ความสำคัญยิ่ง โดยองค์กรหลักของประเทศต่างมีบทบาทและยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนในการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่ง สนับสนุนการเข้าถึงแหล่งทุนและองค์ความรู้ที่จำเป็น พร้อมทั้งขับเคลื่อนนโยบายเพื่อปลดล็อกศักยภาพสูงสุดของสตาร์ตอัพไทยในการแข่งขันและสร้างผลกระทบในเวทีโลก
ตลาดหลักทรัพย์ฯ: สร้างรากฐาน แหล่งทุน และองค์ความรู้ให้สตาร์ตอัพ

ประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้ช่วยผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ และ กรรมการผู้จัดการบริษัท ไลฟ์ฟินคอร์ป จำกัด กล่าวว่า ศักยภาพของสตาร์ตอัพนั้นเปรียบเสมือนพลังและความหลากหลาย ในสภาวะที่โลกเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง (Disruptive) ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้า หรือเทคโนโลยี AI ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สตาร์ตอัพคือกลุ่มที่ต้องปรับตัวและมองหาโอกาส นอกจากนี้ ประพันธ์ยังได้กล่าวถึงลักษณะของชาวสตาร์ตอัพว่าเป็นกลุ่มคนที่มีพลังและความกล้า
จากการทำงานในตลาดหลักทรัพย์ฯ มาเป็นเวลา 20 ปี ได้เห็นพัฒนาการของสตาร์ตอัพไทยมาโดยตลอด ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการสร้างระบบนิเวศสตาร์ตอัพ สำหรับโครงการที่เป็นรูปธรรม LiVE Platform คือคลังองค์ความรู้สำคัญที่ผู้ประกอบการสามารถเข้าไปค้นคว้าได้โดยสะดวก ส่วน โครงการข้อมูลสตาร์ตอัพ (Startup Data) เป็นประเด็นที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะการดำเนินงานใด ๆ จำเป็นต้องอาศัยข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน
ประพันธ์ยอมรับว่ามีความท้าทายหลายประการในการดำเนินการ ตั้งแต่การรวบรวมข้อมูลให้ครบถ้วนและทันท่วงที การทำให้ได้ข้อมูลปริมาณมากที่สุด ไปจนถึงความยากในการปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ จึงได้ขอความร่วมมือจากผู้เกี่ยวข้องให้ช่วยกันป้อนข้อมูลเพื่อให้โครงการนี้บรรลุผลสำเร็จ นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังมี LiVE Exchange เป็นแพลตฟอร์มระดมทุน และมีแผนจัด งานสำหรับ SME ในวันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม ณ ห้องประชุมเดียวกัน โดยตั้งเป้าที่จะใช้พื้นที่ทั้งหมดของอาคารอย่างเต็มศักยภาพ เพื่อสร้างผลกระทบในวงกว้าง
CMDF: ปั้นยูนิคอร์นไทยด้วยข้อมูลและการเงินระยะเริ่มต้น

จักรชัย บุญยะวัตร ผู้จัดการกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) กล่าวว่า สตาร์ตอัพมีสถานะเป็นกลไกสำคัญของเศรษฐกิจ สถิติที่น่าสนใจคือเศรษฐกิจไทยกว่าร้อยละ 70-80 ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี และสตาร์ตอัพคือหัวหอกในการสร้างนวัตกรรม การจ้างงาน และมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล อิสราเอลที่สตาร์ตอัพมีสัดส่วนเกือบร้อยละ 20 ของ GDP หรือสิงคโปร์ที่มีระบบนิเวศที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ยิ่งตอกย้ำถึงศักยภาพที่ประเทศไทยสามารถไปถึงได้หากมีการสนับสนุนที่ถูกทาง
“ปรารถนาที่จะเห็นการเติบโตของสตาร์ตอัพไทยจนถึงระดับยูนิคอร์น ไม่ใช่ทุกรายที่จะประสบความสำเร็จ แต่เชื่อมั่นในพลังของสตาร์ตอัพที่มีความสามารถในการฟื้นตัว (Resilient) และกลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง ซึ่ง CMDF พร้อมเป็นกำลังใจเสมอ”
จักรชัย กล่าวถึงปัจจัยความสำเร็จในต่างประเทศว่า การสนับสนุนจากภาครัฐ ทั้งเงินทุนระยะเริ่มต้นและโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ข้อมูล” ผ่าน National Directory เป็นกุญแจสำคัญในการสร้าง “Deal Flow” หรือทำให้ผู้ต้องการทุนและผู้มีทุนมาเจอกัน CMDF จึงได้สนับสนุนโครงการ Thai Startup Directory อย่างต่อเนื่อง
ช่วงที่สตาร์ตอัพไทยเผชิญความท้าทายจาก COVID-19 และสถานการณ์โลก ทำให้ต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้ระบบนิเวศสามารถกลับมามีชีวิตชีวาและขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อีกครั้ง (reactivate) การสนับสนุน Directory ซึ่งปัจจุบันมีสตาร์ตอัพลงทะเบียนกว่า 400 บริษัท (จากเป้าหมาย 500-600 บริษัท จากนิติบุคคลราว 2,000 ราย) จึงเป็นหนึ่งในคำตอบ สตาร์ตอัพต้องการ 2 สิ่งหลักคือ Financial Support ในช่วง Early Stage และข้อมูลที่เพียงพอพร้อมแพลตฟอร์มเชื่อมโยง (System Integrator) CMDF ยังมองถึงการสนับสนุนเครื่องมือทางการเงินที่หลากหลาย และในอนาคตอาจมีหลักสูตรสำหรับ Family Business เพื่อส่งเสริมความยั่งยืนข้ามรุ่น
สมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย: แก้ปมปัญหา สร้างคน เพิ่มทุน เปิดตลาด และผลักดันนโยบาย

ธนวิชญ์ ต้นกันยา นายกสมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย (Thai Startup Association) กล่าวว่า สมาคมฯ มีบทบาทเป็นศูนย์กลางและกระบอกเสียงสำคัญของเหล่าสตาร์ตอัพไทย จากประวัติศาสตร์การก่อตั้งสมาคมฯ ตลอด 11 ปีที่ผ่านมา สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของสตาร์ตอัพในการสร้างการเปลี่ยนแปลง
ปัจจุบันสมาคมฯ พบ 3 ปัญหาหลักคือ ขาดคนเก่งที่ “กล้า” ออกมาทำสตาร์ตอัพ (ส่วนใหญ่ติด Comfort Zone หรือสมองไหล) ขาดเงินทุนที่ “กล้าเสี่ยง” ใน Early Stage และขาดผู้บริโภคไทยที่ “กล้าทดลองใช้” สินค้านวัตกรรมไทย เพื่อแก้ปัญหานี้ สมาคมฯ ดำเนินงานผ่าน 3 เสาหลัก ได้แก่ Ecosystem Builder, Startup Growth Acceleration, และ Startup Global & Policy Advocacy
สำหรับเสาหลักแรก Ecosystem Builder สมาคมฯ ได้ต่อยอด Thai Startup Directory จาก 131 เป็น 474 บริษัท (เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 200) ร่วมมือกับ DBD จัดทำแคตตาล็อกส่งต่อให้ SME ที่จดทะเบียน LINE ใหม่ จัดตั้ง “One Million Club” (26 สตาร์ตอัพ) และ “10-Year Club” (17 สตาร์ตอัพ) เพื่อแสดงให้เห็นว่าคำกล่าวที่ว่าสตาร์ตอัพไทยไม่มีผู้ใช้งานจริง หรือล้มเหลวไปหมดแล้วนั้น ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง และจัดงาน “Make Startups Cool Again”
ในส่วนของ Startup Growth Acceleration สมาคมฯ สร้างหลักสูตรใหม่ ๆ ร่วมกับ SET เนื่องจากองค์ความรู้เดิมที่เกี่ยวข้องกับการทำสตาร์ตอัพนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว ร่วมมือกับ KBank, NIA, TFA ให้ความรู้ฝั่งนักลงทุน จัดทำ Funding & Investment Map และ VC Directory รวบรวม Member Benefit กว่า 400,000 บาท และจัดกิจกรรม Matching ต่าง ๆ รวมถึงพา LINE MAN Wongnai มาแชร์ประสบการณ์เชิงลึก ตั้งแต่การออกแบบออฟฟิศ โครงสร้างองค์กร Tech Stack และการพัฒนาคน
และเสาหลักที่สาม Startup Global & Policy Advocacy สมาคมฯ ได้เชื่อมโยงกับนานาชาติ (Czech, Sweden, Finland, Estonia, Korea, Hong Kong) และผลักดันนโยบายผ่าน “One Voice” ซึ่งมี 4 ข้อเสนอหลัก ได้แก่ Risk Capital Sandbox เทียบเคียงสิงคโปร์ที่รัฐร่วมลงทุน 7:3 สูงสุด 8 ล้านในดีล Seed หรือต่อยอดถึง 50 ล้าน ตั้งเป้าให้ Early Stage ไทยได้ราว 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ PO Financing ให้สินเชื่อจาก PO โดย บสย. ค้ำประกัน Thailand First Policy รัฐซื้อของไทย 30% มี Fast Track และ e-Certificate และ Thailand National Platform เลือกอุตสาหกรรมเป้าหมาย รัฐไม่ทำเองแต่ช่วย Support by Design และ Scale with State
ธนวิชญ์ กล่าวปิดท้ายว่า สมาคมฯ ยังเน้นเรื่องธรรมาภิบาล และมีแผนจัด “Startup Table” เชิญผู้เชี่ยวชาญด้าน M&A ที่มีสถิติการปิดดีลสำเร็จสูงกว่าร้อยละ 47 มาร่วมให้คำปรึกษา และสนับสนุนงาน “VC Hotspot”
การผนึกกำลังของทั้งสามองค์กรหลักนี้ สะท้อนถึงความตื่นตัวและความมุ่งมั่นอย่างแท้จริงในการยกระดับระบบนิเวศสตาร์ตอัพของไทย ให้สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรม ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และก้าวไปสู่การเป็นผู้เล่นคนสำคัญในเวทีโลกได้
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ไทยยูเนี่ยนจับมือ ADB เปิดมิติใหม่ ‘Blue Finance’ ปั้นอุตสาหกรรมกุ้งไทยสู่ความยั่งยืนระดับโลก
Thai Kitchen 2025 เข็มทิศอนาคตอาหารไทยสู่สากล