Share on
×

Share

วิกฤติภาษีสหรัฐฯ 9 ก.ค. ชี้ชะตาส่งออก-เศรษฐกิจไทย

พลันที่สภาพัฒน์แถลงจีดีพีไตรมาสแรกปี 68 โต3.1% “เผ่าภูมิ โรจนสกุล” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังก็ฉวยจังหวะออกมาตีปิ๊บว่าเป็นผลงานของรัฐบาลนายกฯ ”แพทองธาร ชินวัตร” ซึ่งจีดีพีโตกว่า 3% ติดต่อกัน 3 ไตรมาส ไตรมาส3/67 โต 3.0% ไตรมาสที่ 4/67 โต 3.3%และในไตรมาส1/68 โต 3.1% ในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทยมีแค่ 7ครั้งเท่านั้น 

อย่างไรก็ตาม ผลการขยายตัวเศรษฐกิจไตรมาสแรกของปี 68 ขยายตัว 3.1% ต่อเนื่องจากการขยายตัว 3.3% ในไตรมาสสุดท้ายของปี 67 ถ้าดูจากตัวเลข 3.1% น่าจะถือว่าติดลบ ส่วนปัจจัยที่ทำให้ไตรมาสแรกของปีนี้ยังขยายตัวได้ 3.1% เป็นผลมาจากตัวเลขการส่งออกที่พุ่งสูงถึง 13.8% 

จึงน่าเป็นห่วงว่าตั้งแต่ไตรมาส 2 ไตรมาส 3 ไปจนถึงไตรมาส 4 ซึ่งเป็นไตรมาสสุดท้ายของปีนี้เป็นห้วงเวลาที่ เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการด้านภาษีศุลกากรของประธานาธิบดี โดนัลทรัมป์จะส่งผลการขยายตัวทางเศรษฐกิจของปี 68 ทั้งปีคาดว่าแค่ระดับ 1.8% ต่ำกว่าที่เคยคาดหมายไว้ก่อนหน้าจะโตราว 2.8% เรียกว่าหายไป 1% เลยทีเดียว

ครั้นเมื่อเข้าไปส่องดูไส้ในจะพบว่าตัวเลขการลงทุนไตรมาสแรกของภาคเอกชนลดลงมากถึงขั้นติดลบ ส่วนการลงทุนภาครัฐแม้จะไม่ติดลบก็ลดลงอย่างน่าใจหาย ด้านการบริโภคก็ลดลงทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน เรียกว่าไม่มีอะไรเป็นบวก

ในขณะที่มูลค่าการส่งออกของปีนี้ทั้งปีคาดว่าจะโตเพียง 1.8% เท่านั้น แม้ว่าตัวเลขส่งออกของไทยในไตรมาสแรกจะค่อนข้างสูงถึง 13.8% ก็ตามส่วนหนึ่งก็เนื่องมาจากผู้นำเข้าจากสหรัฐฯ อาศัยช่วงที่อยู่ระหว่างการเลื่อนบังคับใช้อัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) อัตรา 36% ออกไป 90 วัน โดยจะครบกำหนดวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 เร่งนำเข้าสินค้าไปกักตุนไว้ล่วงหน้า จึงทำให้ตัวเลขส่งออกสูง

แต่ก็น่าสังเกตุว่าการส่งออกไตรมาสแรกโต แต่ภาคอุตสาหกรรมการผลิตกลับโตต่ำมาก แค่ 0.6% เท่านั้นจึงสงสัยว่าสินค้าที่ส่งออกไปสหรัฐในไตรมาสแรกนั้นเป็นสินค้าที่ถูกต่างชาติสวมสิทธิ์สินค้าไทยส่งออกไปเหมือนเคยทำที่ผ่านมาหรือไม่

ถ้าการเจรจาของผู้แทนไทยกับสหรัฐไม่ประสบความสำเร็จ สินค้าไทยที่จะส่งออกไปสหรัฐก็จะโดนเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 36% นั่นหมายความว่าสินค้าส่งออกไทยจะไม่สามารถเข้าไปขายในตลาดสหรัฐได้ เนื่องจากราคาแพงขึ้นจากเดิมมากผู้นำเข้าคงไม่นำเข้าไปจำหน่ายได้เพราะไม่มีกำไร ไทยต้องสูญเสียตลาดส่งออกขนาดใหญ่เพราะสัดส่วนสินค้าส่งออกของไทยไปยังตลาดสหรัฐสูงถึงร้อยละ 18% ของการส่งออกทั้งหมด ถือว่าสหรัฐมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมาก 

มิหนำซ้ำยังต้องเจอกับสินค้าจากประเทศคู่แข่งทั้งเวียดนาม จีน มีราคาที่ถูกกว่าสินค้าไทยค่อนข้างมากส่งสินค้าเข้ามาทุ่มตลาดในไทย หันมาแย่งส่วนแบ่งตลาดกับผู้ประกอบการไทยแทน 

ผลกระทบจากมาตรการภาษีของทรัมป์ไม่เฉพาะในภาคการส่งออกหรือภาคการผลิตเท่านั้น แต่จะลามไปถึงห่วงโซ่อุปทาน หรือซัพพลายเชนการผลิตที่เกี่ยวเนื่องอื่น ๆ พลอยโดนหางเลขเป็นลูกโซ่ สะท้อนจากภาพรวมการลงทุนผลิตสินค้าเริ่มชะลอตัวลงรอดูสถานการณ์ และลดกำลังการผลิตสินค้าลงเพื่อเลี่ยงปัญหาสต๊อกเพิ่มขึ้น โดยที่ไม่มีคำสั่งซื้อใหม่เข้ามาและอาจจะต้องหยุดผลิตในอีกไม่กี่วันข้างหน้า หลังจากระยะเวลาที่ผ่อนผัน 90 วันครบกำหนด 

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม ที่ผ่านมาเป็นการส่งสินค้าทางเรือเที่ยวสุดท้ายของสินค้าไทยไปยังสหรัฐในอัตราภาษีเดิม 10% แต่จากนี้ไปคงจะไม่มีการส่งสินค้าออกไปสหรัฐอย่างแน่นอน เพราะยังไม่มีความไม่ชัดเจนว่าไทยจะถูกเก็บภาษีตอบโต้จากสหรัฐในอัตราเท่าใด รัฐบาลไทยก็เงียบฉี่ไม่มีความชัดเจนว่าจะเจรจาต่อรองอย่างไร 

ส่วนที่บอกว่าให้ไปหาตลาดส่งออกใหม่ ๆ ทดแทนพูดง่ายแต่ทำยาก ต้องยอมรับความจริงว่าจุดอ่อนของอุตสาหกรรมไทยยังผลิตสินค้าขั้นพื้นฐานสวนทางตลาดโลกที่ต้องการสินค้าทันสมัย สินค้าพวกไฮเทค ใช้นวัตกรรม สินค้าไทยจึงแข่งขันในตลาดโลกลำบาก

อีกทั้งที่ผ่านมาการปรับตัวของอุตสาหกรรมของไทยทำได้ช้ามาก ๆ ทั้งที่การผลิตของภาคอุตสาหกรรมสร้างรายได้หลักของประเทศอย่างเป็นกอบเป็นกำ เป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมีสัดส่วน 28% ของจีดีพีเลยทีเดียว

จากผลกระทบดังกล่าวทำให้โรงงานอุตสาหกรรมของไทยตอนนี้เริ่มส่งสัญญาณว่าจะทะยอยปิดตัวลงเรื่อย ๆ ล่าสุดบริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผย สถานการณ์โรงงานปิดตัวยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในแต่ละเดือน โดยข้อมูลจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมพบว่า 4 เดือนแรกปีนี้ มีโรงงานปิดตัว 222 แห่ง และมีโรงงานเปิดตัว 502 แห่ง แม้ว่าอัตราการเปิดจะมากกว่าปิดตัว แต่หากดูตัวเลขในแต่ละเดือนจะเห็นการปิดตัวเพิ่มขึ้น 

โดยไตรมาสแรกปีนี้ของการเปิด-ปิดโรงงาน อาจจะยังไม่เห็นผลชัดเจน เพราะผู้ประกอบการเร่งส่งออกไปสหรัฐ ตามคำสั่งซื้อล่วงหน้า จะออกฤทธิ์จริง ๆ ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป หรือหลังครบกำหนด 90 วันตามที่สหรัฐผ่อนผันให้ ในเดือนกรกฎาคมนี้ 

สถานการณ์เศรษฐกิจไทยหลังวัน 9 กรฏาคม น่าเป็นห่วงจริงๆส่งออกที่เป็นรายได้หลักก็ยังไม่ฟื้นแถมจะยิ่งทรุดหนัก ท่องเที่ยวก็ไม่เป็นไปตามเป้า จนเลขาสภาพัฒน์ต้องออกโรงเตือนภาคธุรกิจและประชาชนให้เตรียมรับมือความผันผวนทางการค้าและเศรษฐกิจโลก

บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน

สัญญาณ…’รัฐบาลถังแตก’

ทีมเจรจาไทย อย่าหลงประเด็น

‘ส่งออกศูนย์เหรียญ’ ทำไทยป่วน

×

Share