เทรนด์การเติบโตของรถยนต์ EV การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และ AI เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการลงทุนพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ “DV Platform” ของซีเนียร์คอม บริษัทซอฟต์แวร์เฮาส์ไทยชั้นนำที่มีชื่อเสียงมากว่า 3 ทศวรรษ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านระบบบริหารจัดการตัวแทนจำหน่าย (Dealer Management System: DMS) และโซลูชั่นทางการเงินสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์
บริษัทเล็งขยายฐานลูกค้าจากเดิมที่เป็นค่ายรถญี่ปุ่นเป็นหลัก เพิ่มเข้าตลาด EV จีน พร้อมตั้งเป้าขยายส่วนแบ่งการตลาดจาก 40% เป็น 50% และวางแผนรุกตลาดอาเซียน
สุพิชชา อึงอารี ซีอีโอหญิงคนเก่ง ทายาทคนโตของ “สมเกียรติ-สุพร อึงอารี” ผู้ก่อตั้งซีเนียร์คอม ที่เพิ่งรับไม้ต่อในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีเนียร์คอม จำกัด จากคุณพ่อเมื่อเดือนมิถุนายน 2568 ล่าสุด ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “DV Platform” เล่าถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ขึ้นมาว่า เริ่มจาก 2-3 ปีก่อน ได้เห็นแนวโน้มและการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย โดยเทรนด์ของ EV ได้เข้ามามีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทยอย่างชัดเจน ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการเติบโตของ EV ทั่วโลก และนโยบายภาษีนำเข้า 0% สำหรับรถ EV จากประเทศจีน
ปี 2023-2024 อุตสาหกรรม EV ในไทยเติบโตสูงขึ้นถึง 8 เท่า ซึ่งมาจากการขายรถ EV จีนทั้งหมด ประเทศไทยได้ก้าวขึ้นเป็น 1 ใน 10 ตลาด EV โลก สัดส่วนยอดขายรถใหม่ EV เพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 23% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่ ส่วนแบ่งตลาดของแบรนด์ญี่ปุ่นลดลงจาก 77 – 80% เหลือ 59% ในเวลาเพียง 2-3 ปี
ดีลเลอร์ปรับตัว
ดังนั้น ในฝั่งของตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ (ดีลเลอร์) ได้ปรับตัว 3 รูปแบบหลัก เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลง คือ
- การเปลี่ยนแบรนด์ (Step away from current brand) จากแบรนด์เดิมปิดตัว มองเห็นโอกาสและนโยบายที่ยืดหยุ่นกว่า รวมถึงข้อเสนอที่น่าสนใจจากแบรนด์จีน จึงเปลี่ยนจากญี่ปุ่นไปจีนแทน
- การขยายสู่หลายแบรนด์ (Multi-brand Expansion) ดีลเลอร์เลือกลงทุนควบคู่ไปกับหลายแบรนด์ ทั้งรถสันดาป และ EV โดยเฉพาะแบรนด์จีนที่มีต้นทุนการลงทุนไม่สูงเท่าสมัยก่อน เพื่อลดความเสี่ยงและกระจายโอกาสทางธุรกิจ
- โมเดลธุรกิจดีลเลอร์แบบใหม่ (New Dealership Model) ในกลุ่มดีลเลอร์ใหม่ที่ไม่เคยอยู่ในธุรกิจมาก่อน เช่น นักลงทุนหน้าใหม่ หรือกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งได้รับโอกาสใหม่ๆ จากการเข้ามาของ EV ที่ไม่ถูกจำกัดด้วยเงื่อนไขพื้นที่เหมือนธุรกิจดีลเลอร์แบบดั้งเดิม
จำแนกความต่างดีลเลอร์
สุพิชชา ยังแจกแจงความแตกต่างของดีลเลอร์ โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ 1. ผู้เล่นดั้งเดิม (Traditional Dealer) แบรนด์ญี่ปุ่น หรือแบรนด์ที่มีฐานในไทยมานาน จะมีลักษณะการทำงานที่เป็นระบบ มีมาตรฐานชัดเจน ยืดหยุ่นน้อย โครงสร้างองค์กรเป็นแบบแนวตั้ง (Vertical) การตัดสินใจมักจะล่าช้า ต้องผ่านการอนุมัติหลายระดับ เช่น การขอส่วนลดลูกค้าอาจต้องผ่าน 9 ขั้นตอน ระบบทำงานเป็น Legacy System ยากต่อการเปลี่ยนแปลง ใช้ระบบที่ล้าสมัย (outdate system) มีค่าใช้จ่ายในการดูแลสูง (High Internal Development Cost) มีข้อจำกัดหลายด้าน และปรับตัวช้า
2. ผู้เล่นใหม่ (New Player) เน้นแบรนด์จีน หรือ Startup EV ที่การทำงานเน้นความเร็วและความคล่องตัว โครงสร้างองค์กรเป็นแบบแนวนอน (Horizontal) ตัดสินใจเร็ว มีวัฒนธรรมแบบ “Test and Learn” และ “Data-driven” การตลาดเน้น “Fast Go to Market” โดยออกผลิตภัณฑ์สู่ตลาดอย่างรวดเร็วเพื่อรับฟัง Feedback จากผู้ใช้งานจริง ให้ความสนใจกับเทคโนโลยีและการเชื่อมต่อ API ที่ยืดหยุ่น อัตโนมัติ ไม่ยึดติดกับซัพพลายเออร์เจ้าเดียว เปิดกว้างรับพันธมิตรใหม่ๆ และเน้น Local Autonomy ให้ดีลเลอร์ตัดสินใจได้มากขึ้น ต้องการข้อมูลจากดีลเลอร์เพื่อวิเคราะห์และทำความเข้าใจผู้ใช้งาน
ดีลเลอร์-เทคโนโลยี-AI: จุดเปลี่ยน
สุพิชชา เล่าต่อไปว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทเล็งเห็นเทรนด์การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี รวมถึงการเติบโตของ AI และได้วิเคราะห์ว่า AI สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมของบริษัทได้มากพอสมควร และพบว่า DMS ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เดิมของบริษัทมีข้อจำกัดหลายประการ และไม่ตอบโจทย์การเติบโตในอนาคต 5-10 ปีข้างหน้า จึงตัดสินใจลงทุนพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ชื่อ “Dealer Vision” และยกเลิกการทำตลาดผลิตภัณฑ์เดิม
“เป็นการลงทุนแบบ fully rebuilt ไม่ใช่แค่การ modernization ที่แค่เปลี่ยนอินเทอร์เฟซบนฐานข้อมูลและระบบเก่า แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างระบบทั้งหมด เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเดิม ๆ ของ Legacy System และเทคโนโลยีที่ล้าสมัย”
ผลิตภัณฑ์ใหม่จะตอบโจทย์อุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต ทั้งดีลเลอร์ดั้งเดิม ที่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา มอบประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีขึ้น และมีผลงานที่ถูกรับรองจากผู้ใช้งานจริง และกลุ่มผู้เล่นรายใหม่ ด้วยโปรแกรมพร้อมใช้และยืดหยุ่น (Ready to use with flexibility) ลงทุนเริ่มต้นไม่สูง ขยายได้ตามการเติบโต (Scalable) และช่วยลดความเสี่ยงจากการพัฒนาโปรแกรมเอง
เชื่อมต่อง่ายปรับขยายได้ตอบสนองสูง
DV Platform ออกแบบภายใต้แนวคิดหลัก 3 ประการ เพื่อตอบโจทย์ธุรกิจปัจจุบัน และอนาคต คือ
- เชื่อมต่อได้ง่าย (Integrable) จากการพัฒนาระบบ Open API ที่เปิดรองรับให้ซอฟต์แวร์อื่นๆ เชื่อมต่อได้ง่าย ทั้งในรูปแบบ Low Code และ No Code Integration
- ปรับขยายได้ (Scalable) รองรับลูกค้าได้หลากหลายขนาด (S, M, L) เปิด-ปิดฟังก์ชัน หรือปรับเปลี่ยน Workflow ให้เข้ากับธุรกิจที่หลากหลายรูปแบบ รวมถึงรองรับเทคโนโลยีรถยนต์ใหม่ๆ เช่น EV ที่แตกต่างจากรถสันดาป และรถขนาดใหญ่ที่อาจมีวิธีการบริหารจัดการที่ต่างกัน
- ตอบสนองได้สูง (Highly Responsive) รองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้อย่างยืดหยุ่นและรวดเร็ว
ผลิตภัณฑ์รองรับการใช้งานทุกอุปกรณ์ เช่น มือถือ แท็บเล็ต PC ด้านภาษา ปัจจุบันรองรับ 40 ภาษา และสามารถรองรับภาษาอื่น ๆ ได้อีกในอนาคตผ่านการเชื่อมต่อกับ AI Library โดยไม่ต้องเขียนโค้ดเพิ่มเติม เป็นผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาร่วมกันระหว่าง AI Co-pilot หรือ AI Agent กับ Developer ภายในของบริษัทที่มีประสบการณ์มานาน ทำให้ผลิตภัณฑ์มีทั้งคุณภาพและฟังก์ชันที่ครบถ้วนตามมาตรฐาน DMS ระดับประเทศ
โอกาสตลาดเปิดกว้าง
ซีอีโอใหม่ยังเห็นว่าโอกาสทางการตลาดของบริษัทยังมีอีกมาก เช่น การปรับตัวของแบรนด์ญี่ปุ่น ที่เริ่มให้ความสนใจ EV มากขึ้น จากการจับมือกับแบรนด์จีน (เช่น Toyota กับ BYD, Nissan กับแบรนด์จีน) เพื่อพัฒนาและผลิตรถ EV ซึ่งการรวมจุดเด่นของจีน คือ ดีไซน์ และเทคโนโลยี กับญี่ปุ่น คือคุณภาพ และบริการ อาจก่อให้เกิดผู้เล่นกลุ่มใหม่ในตลาด
อีกธุรกิจหนึ่งที่เป็นเป้าหมายและกำลังหารือกันคือ Fastfit จากการที่แบรนด์ EV จีน ไม่ได้เน้นการบริการมากนัก จึงอาจร่วมมือกับศูนย์ Fastfit ที่เดิมเน้นการขายหน้างาน แต่หากต้องการเป็น Authorised Service Dealer จะต้องลงทุนระบบ DMS
เพิ่มส่วนแบ่งตลาด–รุกอาเซียน
บริษัทวางเป้าหมายการตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยเป้าหมายระยะสั้น ปี 2025 หลังเปิดตัวและมีผู้ใช้งานจริงแล้ว จะรวบรวม Feedback จากลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่เพื่อนำมาปรับปรุง พัฒนา และเพิ่มศักยภาพของผลิตภัณฑ์ให้พร้อมสำหรับตลาดใหม่ ๆ เสริมสร้างศักยภาพของทีมงานทั้งภายในและจากการสร้างพันธมิตร (Alliance Partner) และเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด จากปัจจุบันที่มีส่วนแบ่งประมาณ 40% ให้เติบโตถึง 50%
ทั้งยังวางเป้าหมายระยะกลาง ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป โดยการขยายสู่ตลาดอาเซียนอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการเปิดสาขาในต่างประเทศและร่วมมือกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในประเทศนั้นๆ เช่น เวียดนาม มาเลเซีย และจะ De-localization มุ่งเน้นการศึกษาและพัฒนาฟีเจอร์เพิ่มเติมให้สอดคล้องกับธุรกิจในแต่ละประเทศ ไม่ใช่แค่การแปลภาษา
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
UBTECH เปิดบ้านรับสื่ออาเซียนเผยอนาคตหุ่นยนต์และมนุษย์อยู่ร่วมกัน
วิเคราะห์ท่องเที่ยวไทยยุคใหม่ด้วย Mobility Data และข้อมูลเรียลไทม์