Share on
×

Share

‘เอ๊ะ-ถาม-อ๋อ’ เกราะป้องกันภัยไซเบอร์สู้กลโกงออนไลน์

ในยุคที่มิจฉาชีพทำงานอย่างเป็นระบบและพัฒนาเครื่องมือหลอกลวงที่ซับซ้อนขึ้นทุกวัน การเสวนาพิเศษในหัวข้อ “เอ๊ะให้ทัน ถามให้ชัด อ๋อให้ไว รู้ทันภัยทุกรูปแบบ” ในงาน Forum “คนไทยรู้ทัน 2.0” ได้กลายเป็นเวทีสำคัญที่ 5 หน่วยงานหลักจากทั้งภาครัฐและเอกชน มาร่วมกันถอดรหัสกลโกง พร้อมเปิดเผยยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปราม เพื่อสร้าง “วัคซีนดิจิทัล” ที่แข็งแกร่งที่สุดให้กับคนไทย นั่นคือ “สติ” และการตระหนักรู้

เวทีเสวนาครั้งนี้ได้รวบรวมขุนพลจากหน่วยงานที่เป็นหัวใจสำคัญในการต่อสู้กับภัยออนไลน์ ซึ่งต่างได้สะท้อนมุมมองและภารกิจเชิงลึก เพื่อสร้างความเข้าใจและเกราะป้องกันที่ครอบคลุมในทุกมิติ

ภาครัฐเอาจริง: จากนโยบายสู่ปฏิบัติการเชิงรุก

ท่ามกลางสมรภูมิภัยไซเบอร์ที่ซับซ้อนขึ้น ภาครัฐได้ยกระดับการทำงานสู่มิติใหม่ที่ครอบคลุมตั้งแต่การวางนโยบายมหภาคไปจนถึงปฏิบัติการเชิงรุกที่เข้าถึงประชาชนในระดับชุมชน

วงศ์อะเคื้อ บุญศล โฆษกกระทรวงฯ ฝ่ายการเมือง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) กล่าวว่า กระทรวงฯ ไม่เพียงมุ่งเน้นการบังคับใช้กฎหมายไซเบอร์และมาตรการปราบปรามซิมผีบัญชีม้าอย่างเข้มข้นเท่านั้น แต่ยังเดินหน้าสร้างเกราะป้องกันจากฐานรากผ่านโครงการเรือธงอย่าง “1 อำเภอ 1 IT Man” โดยมีเป้าหมายให้ IT Man เหล่านี้เป็นคีย์แมนหลักในแต่ละพื้นที่ ทำหน้าที่ประสานงานกับศูนย์ดิจิทัลชุมชนกว่า 2,222 แห่งทั่วประเทศ เพื่อสร้างเครือข่ายอาสาสมัครดิจิทัล (อสด.) ที่จะทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้และทักษะการรู้เท่าทันภัยออนไลน์ลงลึกถึงระดับตำบลและหมู่บ้าน ถือเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันดิจิทัลหมู่ให้กับคนไทยทั่วประเทศ

ในขณะที่นโยบายกำลังสร้างเกราะป้องกันในระยะยาว เอกพงษ์ หริ่มเจริญ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (AOC) กล่าวถึงปฏิบัติการในแนวหน้าซึ่งเป็นด่านสกัดความเสียหายแบบเรียลไทม์ผ่านสายด่วน AOC 1441 ที่พร้อมให้บริการ 100 คู่สายตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีภารกิจสำคัญ 2 ด้าน คือ:

  1. การระงับเหตุ (เมื่อถูกหลอก) หากประชาชนพลาดท่าโอนเงินไปแล้ว สามารถโทรแจ้ง 1441 กด 1 ได้ทันที ศูนย์ AOC จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางประสานงานกับธนาคารและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเพื่ออายัดบัญชีของมิจฉาชีพโดยเร็วที่สุด
  2. การป้องกัน (เมื่อสงสัย) หากได้รับข้อความที่น่าสงสัย สามารถใช้บริการตรวจสอบข้อมูลได้ที่ 1441 กด 3 ซึ่งเปรียบเสมือนที่ปรึกษาส่วนตัวที่ช่วยเช็กให้ชัวร์ก่อนเชื่อ นอกจากนี้ ระบบใหม่ของ AOC ที่กำลังจะเกิดขึ้นจะสามารถเชื่อมโยงข้อมูลเพื่ออายัดทุกบัญชีที่เป็นชื่อของมิจฉาชีพคนเดียวกันได้ในคราวเดียว เป็นการตัดวงจรการเงินอย่างสิ้นเชิง

ถอดวิธีคิดมิจฉาชีพ และภูมิปัญญา 2,500 ปีที่ใช้ได้จริง

ในฐานะหน่วยงานที่อยู่แนวหน้าของการปราบปราม พันตำรวจเอกเนติ วงษ์กุหลาบ รองผู้บังคับการ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (CCIB) กล่าวว่า ต้องมองว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์เปรียบเสมือน ‘บริษัท’ ที่มีเป้าหมายคือ ‘กำไร’

พ.ต.อ.เนติ อธิบายว่า เครื่องมือสำคัญที่มิจฉาชีพใช้คือการวิเคราะห์ Google Trends เพื่อศึกษาว่าคนไทยกำลังมีความต้องการ ความกังวล หรือความสนใจในเรื่องใดเป็นพิเศษ จากนั้นจึงสร้าง “ข้อมูลปลอมและข่าวปลอม” ขึ้นมาเพื่อใช้เป็นเหยื่อล่อ โดยอาศัยช่องทางต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการส่ง SMS แจ้งว่าพัสดุติดปัญหา การแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ หรือการสร้างโปรไฟล์ปลอมบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งมี 2 รูปแบบหลักที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ คือ

โปรไฟล์ปลอมเพื่อหลอกให้รัก (Romance Scam) สร้างตัวตนเป็นหนุ่มสาวหน้าตาดี เข้ามาทำความรู้จัก สร้างความสัมพันธ์จนเหยื่อไว้วางใจ ก่อนจะชักชวนให้ลงทุนหรือโอนเงินให้ และโปรไฟล์ปลอมเพื่อหลอกลงทุน (Investment Scam) สร้างภาพลักษณ์เป็นนักลงทุนผู้เชี่ยวชาญหรือกูรูที่น่าเชื่อถือ โพสต์ภาพชีวิตหรูหราเพื่อสร้างแรงจูงใจ แล้วจึงชักชวนให้ลงทุนในแพลตฟอร์มปลอมที่ตนสร้างขึ้น

อย่างไรก็ตาม พ.ต.อ.เนติ กล่าวว่า เครื่องมือป้องกันที่ทรงพลังที่สุดซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่อยู่กับคนไทยมากว่า 2,500 ปี นั่นคือ หลัก “กาลามสูตร” ในพระพุทธศาสนา หลักธรรมเปรียบเสมือน “คู่มือป้องกันข่าวปลอม” ที่ดีที่สุด โดยมีหัวใจสำคัญคือ “อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ” เพียงเพราะฟังตามกันมา ดูน่าเชื่อถือ หรือมีเหตุผลน่าฟัง แต่จงใช้สติพิจารณาและตรวจสอบข้อมูลให้แน่ใจก่อนเสมอ

เรื่องจริงจากวงใน: เมื่อภัยไซเบอร์ใกล้ตัวกว่าที่คิด

เพื่อตอกย้ำว่าภัยไซเบอร์ไม่ใช่เรื่องไกลตัว นาวาเอกหญิงศิริเนตร รักษ์วงศ์ จากสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ได้เปลี่ยนจากการบรรยายเชิงเทคนิคมาเป็นการแบ่งปันอุทาหรณ์จริงที่เกิดขึ้นกับเพื่อนสนิทของเธอเอง เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความแนบเนียนและอันตรายของมิจฉาชีพยุคใหม่

ท่านได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เพื่อนสนิทซึ่งเพิ่งเกษียณและได้รับเงินบำเหน็จก้อนใหญ่ ถูกมิจฉาชีพที่คาดว่าใช้เทคโนโลยี AI ปลอมแปลงเสียงและรูปแบบการสนทนาติดต่อเข้ามาหลอกยืมเงิน กลโกงนี้มีความซับซ้อนไปอีกขั้น โดยมิจฉาชีพไม่ได้ให้โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารซึ่งจะแสดงชื่อผู้รับ แต่กลับแนะนำให้โอนผ่านช่องทาง e-wallet รูปแบบหนึ่งเพื่อเลี่ยงการตรวจสอบชื่อ

จุดที่น่ากลัวที่สุดคือ แม้ว่าธนาคารจะโทรศัพท์มาเพื่อยืนยันธุรกรรมที่น่าสงสัยตามมาตรการความปลอดภัย แต่ด้วยความที่เพื่อนสนิทมั่นใจอย่างยิ่งว่ากำลังช่วยเหลือเพื่อนรัก จึงได้ยืนยันการทำธุรกรรมนั้นด้วยตนเอง กว่าจะรู้ความจริงก็เมื่อโอนเงินไปแล้วและพยายามโทรกลับไปที่เบอร์เดิมของเพื่อนแต่ก็ติดต่อไม่ได้

จากเรื่องราวนี้ น.อ.หญิง ศิริเนตร ได้ถอดบทเรียนออกมาเป็นหลักปฏิบัติ “เอ๊ะ-ถาม-อ๋อ” ที่ประชาชนสามารถนำไปใช้ได้ทันที:

  • เอ๊ะ (ให้ทัน): จุดเริ่มต้นของการป้องกันคือความเอะใจ ต้อง “เอ๊ะก่อนโอน ไม่ใช่โอนแล้วค่อยเอ๊ะ” สัญญาณเตือนที่สำคัญคือการถูกขอให้ลบเบอร์เก่า ใช้เบอร์ใหม่ในการติดต่อ หรือการขอเงินอย่างเร่งรีบผิดปกติ
  • ถาม (ให้ชัด): เมื่อเอะใจแล้ว ห้ามดำเนินการต่อเด็ดขาด แต่ให้ “ถาม” เพื่อตรวจสอบความจริงทันที โดยมี 2 ขั้นตอนสำคัญ คือ วางสายหรือหยุดแชต แล้วโทรกลับไปยังเบอร์โทรศัพท์เดิมของเพื่อนหรือคนในครอบครัวที่คุณบันทึกไว้ด้วยตนเอง และเมื่อได้พูดคุย ให้ถามคำถามที่เป็น “รหัสลับ” หรือเรื่องราวส่วนตัวที่รู้กันเพียงสองคน ซึ่งมิจฉาชีพไม่มีทางรู้ได้จากโซเชียลมีเดีย
  • อ๋อ (ให้ไว): เมื่อผ่านขั้นตอนการตรวจสอบแล้ว คุณจะ “อ๋อ” หรือกระจ่างในทันทีว่าสถานการณ์ตรงหน้าเป็นเรื่องจริงหรือกลโกง หากเป็นกลโกงก็สามารถแจ้งความดำเนินคดีได้ทันที

บทเรียนจากเหตุการณ์จริงนี้ชี้ให้เห็นว่า แม้แต่มิตรภาพและความไว้ใจก็อาจถูกมิจฉาชีพใช้เป็นเครื่องมือได้ ดังนั้น การมีสติและทำตามหลัก “เอ๊ะ-ถาม-อ๋อ” จึงเป็นเกราะป้องกันภัยส่วนบุคคลที่สำคัญที่สุดในยุคดิจิทัล

TikTok กับภารกิจสร้างแพลตฟอร์มปลอดภัยและสังคมตระหนักรู้

ชนิดา คล้ายพันธ์ Head of Public Policy for Southeast Asia, TikTok
ชนิดา คล้ายพันธ์ Head of Public Policy for Southeast Asia, TikTok

ในฐานะตัวแทนภาคเอกชนที่เป็นแพลตฟอร์มซึ่งเข้าถึงผู้คนจำนวนมหาศาล ชนิดา คล้ายพันธ์ Head of Public Policy for Southeast Asia, TikTok กล่าวว่า เป้าหมายหลักของ TikTok คือ “การสร้างแรงบันดาลใจและความสุข” (Inspire Creativity and Bring Joy) ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้ใช้รู้สึกปลอดภัย

TikTok สานต่อ ‘คนไทยรู้ทันปี 2’ ผนึก 12 พันธมิตรยกระดับสู้ภัยไซเบอร์

TikTok ได้ลงทุนด้านความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ (Trust and Safety) ทั่วโลกเป็นเม็ดเงินมหาศาล เพื่อพัฒนายุทธศาสตร์การป้องกันแบบสองแกนหลักควบคู่กันไป

แกนแรกคือ เกราะป้องกันภายในด้วยเทคโนโลยีและนโยบายที่เข้มแข็ง เป็นการสร้างระบบป้องกันภายในแพลตฟอร์มที่แข็งแกร่ง โดยเป็นการทำงานผสานกันระหว่างเทคโนโลยีและมนุษย์

  • เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI): ทำหน้าที่เป็นด่านหน้าในการสแกนและตรวจจับเนื้อหาที่ละเมิดนโยบายชุมชนตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้สามารถลบเนื้อหาอันตรายจำนวนมหาศาลได้ก่อนที่ผู้ใช้จะมองเห็น
  • ทีมผู้เชี่ยวชาญ (Human Moderators): เนื้อหาที่มีความซับซ้อนและต้องอาศัยความเข้าใจในบริบททางภาษาและวัฒนธรรม จะถูกส่งต่อให้ทีมผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเพื่อการตัดสินใจที่แม่นยำ
  • ฟีเจอร์เพื่อความปลอดภัย: TikTok ได้ออกแบบเครื่องมือให้ผู้ใช้สามารถป้องกันตัวเองได้โดยตรง เช่น การยืนยันตัวตนสองชั้น (2FA) เพื่อป้องกันการแฮกบัญชี และที่สำคัญคือ นโยบายคุ้มครองเยาวชน โดยบัญชีของผู้ใช้งานที่มีอายุต่ำกว่า 16 ปี จะถูกตั้งค่าเป็นส่วนตัว (Private) โดยอัตโนมัติ และไม่สามารถใช้ฟีเจอร์รับ-ส่งข้อความส่วนตัว (Direct Message) ได้ เพื่อป้องกันการล่อลวงออนไลน์ (Online Grooming)

แกนที่สอง คือ ภูมิคุ้มกันภายนอก เป็นการสร้างสังคมแห่งการตระหนักรู้ ทำงานเชิงรุกร่วมกับสังคมภายนอก เพื่อสร้าง “ภูมิคุ้มกันหมู่” ผ่านโครงการ “#คนไทยรู้ทัน” ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากในปีแรก และได้ขยายความร่วมมือจาก 8 หน่วยงานเป็น 12 หน่วยงานในปีที่สอง หัวใจของโครงการนี้คือการย่อยข้อมูลเกี่ยวกับกลโกงที่ซับซ้อนให้กลายเป็นคอนเทนต์วิดีโอสั้นที่ เข้าใจง่าย จดจำได้ และนำไปใช้ได้จริง โดยอาศัยพลังของเครือข่ายครีเอเตอร์บนแพลตฟอร์มเป็น “ผู้ส่งสาร” คนสำคัญในการกระจายความรู้ไปสู่วงกว้าง นอกจากนี้ TikTok ยังได้จัดตั้งช่องทางการรายงานพิเศษ (Special Reporting Channels) สำหรับหน่วยงานพันธมิตร เพื่อให้สามารถแจ้งเบาะแสและแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับเทรนด์กลโกงรูปแบบใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งช่วยให้แพลตฟอร์มสามารถปรับปรุงระบบป้องกันให้เท่าทันมิจฉาชีพได้อยู่เสมอ

ท้ายที่สุดแล้ว การต่อสู้กับภัยออนไลน์ไม่ใช่ภารกิจของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกภาคส่วน โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง เพราะต่อให้เทคโนโลยีและกฎหมายจะล้ำหน้าเพียงใด เกราะป้องกันที่ดีที่สุดคือ “สติ” และการนำหลัก “เอ๊ะ-ถาม-อ๋อ” ไปใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อสร้างสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัยและยั่งยืนสำหรับทุกคน

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

‘Healthspan’ ปลายทางใหม่ของชีวิตที่ยืนยาว และเปี่ยมสุขในยุคดิจิทัล

Netflix ชี้ไทยมีศักยภาพเป็น ‘ฮับคอนเทนต์’ แห่งเอเชีย

×

Share

ผู้เขียน