เพชรบุรี ไม่เพียงเป็นจังหวัดที่ตั้งของแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ ในกลุ่มป่าแก่งกระจาน จากความหลากหลายทางชีวภาพสูง แต่ยังได้รับการยกย่องเป็นเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ด้านอาหารจากยูเนสโก ด้วยความโดดเด่นของวัฒนธรรมอาหารท้องถิ่นที่เชื่อมโยงกับวิถีชีวิตและภูมิปัญญาดั้งเดิม
เมื่อเร็ว ๆ นี้ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ สศส. ภายใต้โครงการส่งเสริมเมืองสร้างสรรค์องค์การยูเนสโกในประเทศไทย (UNESCO Creative Cities Network: UCCN) ร่วมกับสำนักงานจังหวัดเพชรบุรี เปิดเวทีกิจกรรม “การประกวดรสเพ็ดรีประจำบ้าน (Cooking and Storytelling Competition)” ภายใต้แนวคิด “รสเพ็ดรี มีดีไม่เหมือนใคร” เพื่อตอกย้ำบทบาทเพชรบุรีในฐานะเมืองสร้างสรรค์ด้านอาหาร (City of Gastronomy) ของประเทศไทย โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านวัฒนธรรมอาหารจากรุ่นสู่รุ่น
ทั้งนี้ เพ็ด-รี คือ คำเรียกแบบย่อ ๆ ของเพชรบุรีนั่นเอง เช่นเดียวกับราดรี มาจากราชบุรี บอกเล่าไว้เพื่อป้องกันการสะดุด เวลาอ่าน
กิจกรรมดังกล่าว ได้จับคู่ “แม่ครัวหัวเตา” กับ “นักเล่าเรื่องรุ่นเยาว์” ถ่ายทอดสูตรอาหารประจำบ้านผ่านการปรุงและการเล่าเรื่องในรูปแบบร่วมสมัย เพื่อเชื่อมโยงองค์ความรู้จากรุ่นสู่รุ่น ขณะเดียวกันยังเป็นเวทีสร้างคุณค่าเพิ่มแก่ชุมชน และต่อยอดสู่อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ณ สวนตาลลุงถนอม อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี
ถ่ายทอดมรดกท้องถิ่นบนเวทีแข่งทำอาหาร
พุฒศรี สามี ผู้อำนวยการสำนักบริหารและพัฒนาองค์กร สศส. เล่าถึงงานดังกล่าวว่า เป็นกิจกรรมการประกวดรสเพ็ดรีประจำบ้าน ไม่ใช่เพียงเวทีแข่งขันทำอาหาร แต่คือการถ่ายทอดมรดกภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เชื่อมโยงกับวิถีชีวิตและรากเหง้าของชุมชนในเพชรบุรี
“เราเชื่อว่าอาหารคือจุดเริ่มต้นของการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่ยั่งยืน ซึ่ง สศส. ได้กำหนดแนวทางการพัฒนาเมืองสร้างสรรค์เพชรบุรีผ่าน 3 แกนหลัก ได้แก่ 1) ชวนสำรวจ รีวิวตัวเอง 2) รู้จักเรื่องราว รู้ลึกถึงราก และ 3) ต่อยอดผ่านประสบการณ์ใหม่ สู่ตลาดใหม่ เพื่อให้วัฒนธรรมอาหารเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน”
การจับคู่แม่ครัวหัวเตา กับนักเล่าเรื่องรุ่นเยาว์ จึงเป็นสัญลักษณ์ของการสานต่อพลังระหว่างรุ่น ถ่ายทอดคุณค่าและความคิดสร้างสรรค์ให้อาหารพื้นถิ่นเข้าถึงผู้คนในยุคปัจจุบันมากยิ่งขึ้น
ที่สำคัญ กิจกรรมนี้ยังเป็นแรงขับเคลื่อนการสื่อสารอัตลักษณ์เมืองผ่านอาหาร เสริมบทบาทของเพชรบุรีในฐานะ เมืองสร้างสรรค์ด้านอาหารให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล
แหล่งวัตถุดิบชั้นดี สร้างรสเพ็ดรีที่โดดเด่น

วันเพ็ญ มังศรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี รักษาการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี เล่าว่า เพชรบุรีได้รับการคัดเลือกจากองค์การยูเนสโกตั้งแต่ปี 2564 ให้เป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านอาหาร จากรากฐานวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง ทั้งวัตถุดิบพื้นถิ่น อาทิ น้ำตาลโตนด มะนาวแป้น และเกลือสมุทร ผสานภูมิปัญญาการปรุงอาหารที่สืบทอดกันมา ก่อเกิดเป็น “รสเพ็ดรี” ที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร
นอกจากนี้ ยังมีวัตถุดิบพื้นถิ่นที่หลากหลาย เช่น อาหารทะเล ปลาแม่น้ำจืดจากแหล่งน้ำขนาดใหญ่ พืชผักผลไม้ และสำรับอาหารและเรื่องเล่าของแต่ละบ้าน ไม่ใช่เพียงวัตถุดิบและรสชาติ แต่เป็นพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์และภูมิปัญญาที่สืบทอดต่อกันมา
กิจกรรมที่จัดขึ้น ไม่เพียงแต่รักษาเอกลักษณ์ของเพชรบุรี แต่ยังช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้ชุมชนและเยาวชนได้แสดงศักยภาพและต่อยอดสู่ระดับนานาชาติ
“การประกวดรสเพ็ดรีประจำบ้าน เป็นมากกว่าการแข่งขัน แต่เป็นพื้นที่เรียนรู้ สร้างแรงบันดาลใจ และกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ พร้อมยกระดับเพชรบุรีให้ก้าวสู่การเป็นเมืองสร้างสรรค์ที่เข้มแข็งและยั่งยืน”
ตีความภูมิปัญญาชุมชนสู่รูปแบบร่วมสมัย

ดังนั้น การประกวดรสเพ็ดรีประจำบ้าน ไม่ได้เป็นเพียงเวทีโชว์ฝีมือการทำอาหารเท่านั้น แต่คือการนำภูมิปัญญาของแต่ละชุมชนมาตีความใหม่ในรูปแบบร่วมสมัย โดยมีทีมแม่ครัวและนักเล่าเรื่องรุ่นใหม่ 3 ทีมที่สะท้อนรากเหง้าความหลากหลายของเพชรบุรีอย่างน่าสนใจ ได้แก่
1) สำรับกะเหรี่ยงโปว์ โดย แม่ครัวป้าแหวน x แม่ครัวซูซี่ นำเสนอเมนูสะท้อนวิถีชุมชนกะเหรี่ยงที่ควรค่าต่อการอนุรักษ์ไว้ ได้แก่ เชอเง๊กะทิ ข้าวห่อกะเหรี่ยง แกงข้าวคั่ว และซูชิข้าวกะเหรี่ยง ที่เป็นข้าวไร่ ปลูกปีละ 1 ครั้งมาต่อยอดผสมผสานอาหารรูปแบบใหม่ได้อย่างลงตัวเพื่อส่งต่อแก่ลูกหลาน ได้ครองรางวัล “สำรับชวนว้าว” ซึ่งเป็นรางวัลความคิดสร้างสรรค์ จากการถ่ายทอดภูมิปัญญาป่าพื้นถิ่นอย่างมีเสน่ห์
ตัวแทนแม่ครัว เล่าว่า เมนูเหล่านี้สื่อถึงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษตามวิถีชีวิตของชาวกะเหรี่ยง โดยนำข้าวกะเหรี่ยงมาต่อยอดกับคนรุ่นใหม่ ออกมาเป็นเมนูซูชิ ส่งต่ออาชีพให้รุ่นลูกหลานในอนาคต
นักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสวิถีชีวิตกะเหรี่ยง และรับประทานอาหารกะเหรี่ยงแท้ ๆ ติดต่อผ่านเพจลานกางเต็นท์ลิ้นช้างวิว ซึ่งใน 1 ปีจะมีประเพณีของชาวกะเหรี่ยง 3 ประเพณี ช่วงเดือน 4 เดือน 9 และเดือน 11 โดยแต่ละประเพณีจะมีอาหารแต่ละประเภทไม่ซ้ำกัน ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบในแต่ละช่วง
2) สำรับลาวโซ่ง โดย แม่ครัวป้าติ๋ม x แม่ครัวพลอย นำเสนอเมนู แกงหน่อส้ม แจ่วด้าน ผักจิ้ม ปลาแดดเดียว และหมูลอย ถ่ายทอดรสชาติจัดจ้านถูกปากทุกเมนู โดยใช้วัตถุดิบพื้นถิ่นที่หาได้เอง เจ้าของรางวัล “สำรับชวนหิว” จากรสชาติอาหารอร่อย จัดสำรับหลากหลายและรสชาติจัดจ้านจนทำให้ผู้เข้าร่วมงานอยากลิ้มลองทันที
แม่ครัวลาวโซ่งบอกว่า ต้องการให้ผู้คนได้รู้จักชุมชนผ่านเมนูเหล่านี้ โดยหาวัตถุดิบได้เองจากท้องถิ่น เป็นอาหารพื้นบ้านที่ถ่ายทอดวิถีชีวิตชุมชนได้ดี
3) สำรับแม่ครัววัดใหญ่สุวรรณาราม โดย แม่ครัวป้าเตี้ย x แม่ครัวนัท นำเสนอเมนู แกงหัวกะโหนด และยำใหญ่แบบเพชรบุรี รังสรรค์อาหารอย่างละเมียดละไม สืบทอดเมนูพื้นถิ่นแบบเพชรบุรี เจ้าของรางวัล “สำรับชวนฟัง” จากการเล่าเรื่องน่าฟัง ใช้การเล่าเรื่องเชื่อมโยงอาหารกับประวัติศาสตร์วัดและวิถีชีวิตอย่างน่าประทับใจ
แม่ครัววัดใหญ่เล่าถึงแกงหัวกะโหนดว่า เป็นอาหารพื้นเมืองของจังหวัดเพชรบุรี วัตถุดิบมาจากผลผลิตของชาวบ้านทุกอย่าง เช่นเดียวกับยำใหญ่ที่ใช้แตงกวาจากการเพาะปลูกของชาวบ้านมาปรุง
“ปกติเราเป็นแม่ครัวอยู่ที่วัดใหญ่สุวรรณาราม ใครอยากชิมรสชาติอาหารพื้นเมืองเพชรบุรีสามารถมาหาแม่ครัวได้ที่วัด”
การประกวด “รสเพ็ดรีประจำบ้าน” ครั้งนี้ ทำให้ได้เห็นว่า “รสเพ็ดรี” คือรสชาติที่สะท้อนความหลากหลายของเพชรบุรี ไม่ว่าจะเข้มข้นแบบกะเหรี่ยง จัดจ้านแบบลาวโซ่ง หรือประณีตละเมียดละไมแบบตำรับวัดใหญ่สุวรรณาราม ล้วนเป็นพลังแห่งภูมิปัญญาที่ควรค่าแก่การสืบสานและต่อยอดสู่ระดับนานาชาติ
เมืองสร้างสรรค์ด้านอาหาร
รองผู้ว่าฯ บอกว่า การเป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านอาหารนี้ ต้องได้รับการประเมินทุก 4 ปี เพื่อรักษาและต่อยอดสถานะเมืองสร้างสรรค์ ซึ่งปี 2568 นี้เพชรบุรีจะครบรอบ 4 ปี และจะถูกประเมินอีกครั้ง หากไม่ผ่านการประเมินจะไม่ได้รับสถานะอีกต่อไป และไม่สามารถสมัครใหม่ในสาขาเดิมได้
“เพชรบุรีสมัครในนามของจังหวัดไม่ใช่แค่เขตเทศบาล ทำให้มีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน หากหลุดสถานะก็คือหลุดทั้งจังหวัด แต่หากรักษาไว้ได้ก็สามารถเคลมได้ทั้งจังหวัดว่าเป็นเมืองยูเนสโกด้านอาหาร”
ดังนั้น ทางจังหวัดได้วางแนวทางในการรักษาตำแหน่งเมืองสร้างสรรค์ด้านอาหาร และดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดย
1. จัดทำ Road Map 4 ปี วางแผนกิจกรรมและแนวทางการดำเนินงานใน 4 ปีข้างหน้า เพื่อรักษาการเป็นเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ 2. ขับเคลื่อน 3 แกนหลักเพื่อพัฒนาเมืองสร้างสรรค์ ประกอบด้วย ชวนสำรวจ รีวิวตัวเอง เพื่อทำความเข้าใจศักยภาพและเอกลักษณ์ของตัวเอง รู้จักเรื่องราว รู้ลึกถึงราก ส่งเสริมการเรียนรู้และถ่ายทอดวัฒนธรรมอาหารและภูมิปัญญาดั้งเดิม และการต่อยอดผ่านประสบการณ์ใหม่ สู่ตลาดใหม่ ด้วยการพัฒนาอาหารและวัฒนธรรมอาหารไปสู่ตลาดและประสบการณ์ที่ร่วมสมัยมากขึ้น
3. การถ่ายทอดองค์ความรู้และภูมิปัญญาจากรุ่นสู่รุ่น เช่น การจัดกิจกรรม “การประกวดรสเพ็ดรีประจำบ้าน” ครั้งนี้ 4. การสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคมผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่มุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับชุมชนและต่อยอดสู่อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ส่งเสริมให้มรดกวัฒนธรรมทางอาหารมีชีวิตจริง ไม่ใช่แค่เรื่องเล่า และ ขยายขอบเขตสู่สังคมเพื่อสร้างรายได้ ให้กับคนในจังหวัด และการเป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านอาหารจะช่วย ส่งเสริมการท่องเที่ยวและยกระดับรายได้ของคนเพชรบุรี
5. การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และการจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่องกับเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ทั้งในสาขาอาหารและสาขาอื่น ๆ ทั่วโลก เพื่อต่อยอดความรู้ จัดกิจกรรมระดับประเทศและระดับโลก เช่น การเป็นเจ้าภาพจัดงาน “E-Mex” ที่เชิญเมืองสร้างสรรค์ต่าง ๆ มาสาธิตอาหารและเสวนา เข้าร่วมงานกับเมืองสร้างสรรค์อื่น ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ การจัดงานสำคัญของจังหวัด เช่น งานพระนครคีรี และมหกรรมอาเซียนสัมพันธ์ เพื่อนำเสนอและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมอาหาร
ปรับวิธีนำเสนอดึงคนรุ่นใหม่กินอาหารไทย
ส่วนปัญหาของร้านอาหารไทยรูปแบบเดิม ๆ ประสบปัญหาผู้บริโภครุ่นใหม่ไม่เข้านั้น พุฒศรี ให้แนวทางว่า ควรปรับวิธีการนำเสนอ รูปแบบของอาหารที่ทำเสร็จต้องดึงดูด โดยใช้วัตถุดิบเดิม ตั้งชื่อเรียกให้เก๋ ใส่รายละเอียด เพราะคนรุ่นใหม่ชอบรู้รายละเอียดของสิ่งที่บริโภค หากทราบแหล่งที่มาของวัตถุดิบ กระบวนการผลิต จะเห็นถึงคุณค่า และหันมารับประทาน
“อาหารที่ทำต้องมีสตอรี่ เล่าเรื่องที่มา เช่น ตาลโตนดเมืองเพชรทำไมไม่หวานจัด ก็เพราะแร่ธาตุในพื้นดิน”
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า พฤติกรรมของคนรุ่นใหม่เปลี่ยน กินอาหารผ่านดิลิเวอรี่ แต่สำนักงานเกิดมาเพื่อนำทุนวัฒนธรรมมาสังเคราะห์ และคิดว่าจะส่งต่ออย่างไร เพื่อรักษาไว้ และสืบทอดต่อไป มีคนใช้ต่อ ทำเป็นซอฟต์ เพาเวอร์อย่างหนึ่ง
แนะนำ 7 เมืองสร้างสรรค์
นอกจากเพชรบุรีแล้ว สศส. ยังมีบทบาทในการค้นหาและสนับสนุนเมืองอื่น ๆ ของประเทศไทยให้เข้าร่วมเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก โดยปัจจุบันมีเมืองสร้างสรรค์ในประเทศไทยทั้งหมด 7 เมือง ประกอบด้วย ด้านอาหาร 2 เมือง (อีกหนึ่งเมืองคือ ภูเก็ต) ด้านหัตถกรรมและศิลปะพื้นบ้าน (Crafts and Folk Art) 4 เมือง คือ เชียงใหม่ สุโขทัย น่าน และเชียงราย ด้านดนตรี 1 เมือง คือสุพรรณบุรี ด้านการออกแบบ 1 เมือง คือกรุงเทพมหานคร
ส่วนเมืองอื่น ๆ กำลังดำเนินการเพื่อเสนอชื่อจังหวัดศรีสะเกษในด้านดนตรี ซึ่งคาดว่าจะประสบความสำเร็จ
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
เมื่อ ‘Homerun’ เป็นมากกว่าหนังสือ: เจาะใจคนทำหนังสือ
เสียงเตือนภัยบนจานอาหาร: พลิกวิกฤติร้านอาหาร สู่ภารกิจสร้างภาพลักษณ์ประเทศไทย