Share on
×

Share

รับมือยุค Pet Parent: สัตวแพทย์ไทยถกทางรอดวิกฤติ Burnout

ในขณะที่สังคมไทยกำลังก้าวสู่ยุคที่สัตว์เลี้ยงถูกยกระดับให้เป็นดั่งสมาชิกในครอบครัว (Pet Parent) และความต้องการบริโภคอาหารปลอดภัยจากฟาร์มปศุสัตว์เพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เบื้องหลังภาพลักษณ์ของวิชาชีพที่เต็มไปด้วยความรักและความเมตตา สัตวแพทย์ไทยกลับกำลังเผชิญกับความท้าทายที่หนักหน่วง ทั้งชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความเครียดสะสมจากความคาดหวังที่สูงขึ้น และแรงกดดันจากรอบทิศทาง

นี่คือเสียงสะท้อนจากเวทีเสวนา “Going Beyond: สร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับสัตวแพทย์ไทย” ซึ่งจัดโดย เบอริงเกอร์ อินเกลไฮม์ ที่ได้รวบรวมผู้ทรงคุณวุฒิจากทุกภาคส่วนของวงการสัตวแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นสัตวแพทยสภา สมาคมวิชาชีพ ผู้บริหารสถานพยาบาล และคณาจารย์ มาร่วมถอดรหัสปัญหาที่ซ่อนอยู่ พร้อมแสวงหาทางออกเพื่อสร้างระบบนิเวศที่เกื้อหนุนให้วิชาชีพนี้สามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและมีความสุข

ชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน: ปัญหาระดับชาติที่รอการแก้ไข

Going Beyond: สร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับสัตวแพทย์ไทย

ข้อมูลจาก White Paper ที่นำเสนอในงานชี้ให้เห็นภาพน่ากังวลว่า สัตวแพทย์ไทยมีชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยสูงถึง 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงสุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รศ.สพ.ญ.ดร.จารุวรรณ คำพา เลขาธิการสัตวแพทยสภาเปิดเผยว่า สัตวแพทยสภาได้ตระหนักถึงปัญหานี้และได้ออกประกาศนโยบายชั่วโมงการทำงานแนะนำไว้ที่ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (วันละ 8 ชั่วโมง 5 วัน) เพื่อเป็นเครื่องมือให้สัตวแพทย์ใช้ต่อรองและรักษาสมดุลชีวิต

อย่างไรก็ตาม ในโลกแห่งความเป็นจริง อ.น.สพ.ชัยยศ ธารรัตนะ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสัตว์กรุงเทพ คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สะท้อนว่า การปฏิบัติตามนโยบายดังกล่าวยังเป็นเรื่องท้าทาย เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนบุคลากรสัตวแพทย์สวนทางกับความต้องการบริการที่เพิ่มขึ้นตลอดเวลา “มันเป็นเรื่องไม่ง่ายในการที่จะส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดี ในขณะเดียวกันก็ยังต้องรักษามาตรฐานการบริการที่ดีด้วย เราจำเป็นต้องหาจุดสมดุลของทุกฝ่าย”

ด้าน สพ.ญ.กฤติกาชัย สุพัฒนากุล ประธานชมรมสถานพยาบาลสัตว์แห่งประเทศไทย เสริมว่า ปัจจุบันสถานประกอบการต้องมีความยืดหยุ่นสูง เพราะสัตวแพทย์แต่ละรุ่นมีความต้องการที่แตกต่างกัน “สัตวแพทย์รุ่นใหม่จะให้ความสำคัญกับ Work-Life Balance มาก บางคนขอทำงานน้อยกว่า 5 วัน แต่บางคนที่เพิ่งจบและยังมีพลัง ก็อยากทำงาน 5-6 วันเพื่อเรียนรู้จากรุ่นพี่ ทุกอย่างจึงขึ้นอยู่กับการตกลงกัน แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ผู้ประกอบการต้องคำนึงถึงคือการบริหารความเสี่ยง ถ้าสัตวแพทย์ทำงานหนักเกินไปจนเกิดข้อผิดพลาด ผลกระทบที่ร้ายแรงที่สุดจะตกอยู่ที่ตัวสัตว์”

ถอดรหัสความเครียด 3 มิติ: จากที่ทำงานลูกค้าถึงแรงกดดันในใจ

ผศ.น.สพ.รุ่งโรจน์ โอสถานนท์ อดีตประธาน-คณะผู้บริหารวิทยาลัยวิชาชีพการสัตวแพทย์ชำนาญการแห่งประเทศไทย ได้จำแนกสาเหตุหลักของความเครียดในวิชาชีพสัตวแพทย์ออกเป็น 3 ประเด็นหลัก ได้แก่

ความเครียดจากที่ทำงานอ.น.สพ.ชัยยศ ขยายความว่า ความซับซ้อนของเคสที่ส่งต่อมายังโรงพยาบาลขนาดใหญ่หรือโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย นโยบายของผู้บริหารที่อาจสร้างแรงกดดันโดยไม่ตั้งใจ เช่น การเปิดช่องทางให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงติดต่อได้ 24 ชั่วโมง ซึ่งสร้างความคาดหวังให้ลูกค้าแต่เพิ่มภาระงานให้แก่สัตวแพทย์ ไปจนถึงความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน ล้วนเป็นปัจจัยที่สร้างความเครียดได้ทั้งสิ้น

ความเครียดจากผู้รับบริการ (ลูกค้า) ยุคสมัยที่เปลี่ยนไปทำให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงมีความคาดหวังสูงขึ้นมาก พวกเขามองสัตว์เลี้ยงเป็นเหมือนคนในครอบครัว และคาดหวังการรักษาและการบริการที่ดีที่สุด ซึ่งบางครั้งอาจสวนทางกับข้อจำกัดด้านงบประมาณ ทำให้สัตวแพทย์ต้องเผชิญกับแรงกดดันทางอารมณ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ความเครียดจากตัวเอง (Internal Factor) สัตวแพทย์ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนที่มีความรับผิดชอบสูงและมักเป็น Perfectionist เมื่อผลการรักษาไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง หรือต้องเผชิญกับการสูญเสียสัตว์ที่รักษาอยู่บ่อยครั้ง ก็จะเกิดเป็นความกดดันและความเครียดสะสม

“มีน้องสัตวแพทย์ที่เก่งมากคนหนึ่งลาออก เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่งพอ หลังจากนับดูแล้วพบว่าในหนึ่งเดือนมีเคสที่เขารักษาเสียชีวิตไปมากกว่า 10 ตัว” ผศ.น.สพ.รุ่งโรจน์ ยกตัวอย่าง ซึ่ง อ.น.สพ.ชัยยศ ได้ให้ข้อคิดสำคัญในการรับมือว่า “สิ่งหนึ่งที่อยากจะฝากกับทุก ๆ คนก็คือ ชีวิตคือชีวิต บางครั้งเราก็จัดการไม่ได้ เราต้องยอมรับว่าได้ทำดีที่สุดแล้ว เพื่อให้ความเครียดที่สะสมลดลงได้”

อีกมุมของปศุสัตว์: เมื่อความรับผิดชอบผูกกับเศรษฐกิจและกฎหมาย

ในขณะที่สัตวแพทย์สัตว์เล็กเผชิญกับแรงกดดันทางอารมณ์ สัตวแพทย์สายปศุสัตว์ก็มีความเครียดในรูปแบบที่แตกต่างออกไป สพ..ดร.เมตตาเมฆานนท์ นายกสมาคมสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์มสุกรไทย ชี้ว่า ความท้าทายหลักมี 3 ประการคือ:

  1. แรงกดดันทางเศรษฐกิจ: การทำงานผูกอยู่กับผลประกอบการของฟาร์มโดยตรง หากราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ งบประมาณในการดูแลสุขภาพสัตว์ก็จะถูกจำกัดไปด้วย
  2. ความรับผิดชอบทางกฎหมาย: ปัจจุบันมีกฎหมายภาคบังคับ เช่น GAP ที่กำหนดให้ฟาร์มขนาดใหญ่ต้องมีสัตวแพทย์ควบคุม ซึ่งมาพร้อมกับความรับผิดชอบมหาศาล หากเกิดปัญหาที่ปลายทาง เช่น ตรวจพบโรคในโรงฆ่าสัตว์ สัตวแพทย์ผู้รับรองจากฟาร์มต้นทางอาจต้องรับผิดทางกฎหมาย ซึ่งมีโทษร้ายแรงถึงขั้นจำคุก
  3. ความยากลำบากในการทำงาน: การทำงานในฟาร์มต้องเผชิญกับมาตรการความปลอดภัยทางชีวภาพที่เข้มงวด ต้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าทุกครั้งที่เข้า-ออกแต่ละยูนิตในฟาร์ม และชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานเกินกว่า 24 ชั่วโมง เพราะหลังจากลงพื้นที่เก็บข้อมูลและผ่าซากในฟาร์มเสร็จสิ้นในตอนเย็น ยังต้องกลับมาทำรายงานสรุปเพื่อให้เจ้าของฟาร์มได้รับในเช้าวันรุ่งขึ้น

ทางออกที่ต้องร่วมสร้าง: จาก“Welfare” สู่ Soft Skill และการสื่อสาร

ผู้ร่วมเสวนาทุกท่านเห็นตรงกันว่า ทางออกจากวิกฤตการณ์นี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยมีหัวใจสำคัญคือการสื่อสารและการพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับโลกยุคใหม่

สพ.ญ.กฤติกา ได้แบ่งปันโมเดลการบริหารจัดการที่น่าสนใจว่า “เราต้องดูแลสวัสดิภาพของสัตวแพทย์ (Veterinary Welfare) ไม่ใช่แค่สวัสดิภาพสัตว์ (Animal Welfare) สิ่งสำคัญคือการรับฟังเสียงของพวกเขา

“เราต้องคุยกับสัตวแพทย์ทุกคนแบบตัวต่อตัว เพื่อรับฟังว่าเขารู้สึกอย่างไร อยากให้เราทำอะไร และอยากเติบโตไปทางไหน จากนั้นจึงนำข้อมูลมาออกแบบแผนพัฒนาเฉพาะบุคคล (Individual Development Plan) ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกว่าเสียงของเขาถูกได้ยิน (I hear your voice) และมีเป้าหมายในการตื่นมาทำงานทุกวัน”

ในด้านทักษะที่จำเป็น ผศ.น.สพ.ภูดิท มณีสาย นายกสมาคมสัตวแพทยผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์แห่งประเทศไทย และ ผศ.น.สพ.รุ่งโรจน์ เน้นย้ำว่า ทักษะที่สำคัญที่สุดในยุคนี้ไม่ใช่ความรู้ทางวิชาการที่หาได้จาก AI แต่คือ Soft Skillโดยเฉพาะทักษะการสื่อสารและความเห็นอกเห็นใจ (Empathy)

“การสื่อสารกับลูกค้า 3 คนที่มีพื้นฐานต่างกันโดยสิ้นเชิง แม้สัตว์ของพวกเขาจะป่วยด้วยโรคเดียวกัน ก็ต้องใช้วิธีการที่แตกต่างกัน เราต้องคุยกับนักฟิสิกส์ด้วยเหตุผลและข้อมูล (Fact & Logic) คุยกับแม่บ้านสายศิลป์ด้วยความรู้สึกและความเข้าอกเข้าใจ และคุยกับนักธุรกิจด้วยเรื่องค่าใช้จ่ายและความคุ้มค่า นี่คือสิ่งที่ AI ทำไม่ได้”

ความหวังและวิสัยทัศน์ 5-10 ปี: ปักหมุดอนาคตสัตวแพทย์ไทย

ในช่วงท้ายของการเสวนา ผู้ทรงคุณวุฒิได้ร่วมกันฉายภาพอนาคตของวงการสัตวแพทย์ไทยในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ที่มุ่งยกระดับทั้งตัววิชาชีพและคุณภาพชีวิตของบุคลากรไปพร้อมกัน

ภาพฝันร่วมกันคือการได้เห็นสัตวแพทย์ไทยก้าวขึ้นเป็นผู้นำในระดับสากล เป็นสัตวแพทย์ไร้พรมแดนที่ได้รับการยอมรับอย่างเท่าเทียมกันทั่วโลก โดยมีรากฐานมาจากการที่สังคมให้ความเชื่อมั่นในฐานะบุคลากรทางการแพทย์ผู้รักษาสัตว์อย่างแท้จริง ซึ่งการจะไปถึงจุดนั้นได้จำเป็นต้องปลดล็อกข้อจำกัดทางกฎหมายเพื่อหลุดพ้นจากสถานะ “อาชีพรับจ้างทำของ” เพื่อสร้างเกียรติภูมิและความภาคภูมิใจให้แก่วิชาชีพอย่างยั่งยืน

และเหนือสิ่งอื่นใด เป้าหมายสูงสุดคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่สัตวแพทย์ทุกคนสามารถทำงานได้อย่างมีความสุขและมีคุณภาพชีวิตที่ดี เพราะเชื่อว่าความสุขของบุคลากรคือหัวใจสำคัญที่จะขับเคลื่อนให้วงการก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง

การสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้แก่วงการสัตวแพทย์ไทยนั้น ไม่สามารถพึ่งพาเพียงภาคส่วนใดภาคส่วนหนึ่งได้ แต่ต้องเกิดจากการผนึกกำลังกันของทั้งระบบ ตั้งแต่การปรับปรุงหลักสูตรการศึกษา การสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในสังคม การส่งเสริมให้ผู้ประกอบการใส่ใจในสวัสดิภาพของบุคลากร และที่สำคัญที่สุดคือการที่สัตวแพทย์ทุกคนตระหนักถึงคุณค่าในตนเองและค้นพบความสุขในการทำงาน เพื่อให้วิชาชีพที่ขับเคลื่อนด้วยหัวใจนี้ สามารถทำหน้าที่ดูแลทุกชีวิตได้อย่างเต็มศักยภาพและยั่งยืนต่อไป

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

เมื่อ ‘Homerun’ เป็นมากกว่าหนังสือ: เจาะใจคนทำหนังสือ

TikTok สานต่อ ‘คนไทยรู้ทันปี 2’ ผนึก 12 พันธมิตรยกระดับสู้ภัยไซเบอร์

×

Share

ผู้เขียน