เรื่องน้ำมันกลายเป็นประเด็นร้อนอีกครั้ง เมื่อ “มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์” คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายพรรคพลังประชารัฐได้เสนอนโยบาย “น้ำมันประชาชน” โดยเสนอลดราคาน้ำมันเบนซินประมาณลิตรละ 18.07 บาท น้ำมันดีเซลปรับลดประมาณลิตรละ 6.37 บาท หากเข้ามาเป็นรัฐบาล
ทันทีที่เสนอออกมา ก็มีคนออกมาให้ความเห็นมากมาย ทั้งนักการเมืองต่างพรรคและพรรคเดียวกันรวมถึงชาวบ้าน ในทำนองว่าทำไม่ได้ เข้าตำราหาเสียงเรียกคะแนนนิยมเสียมากกว่า
อันที่จริงเรื่องที่คุณมิ่งขวัญเสนอไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร เมื่อคราวเลือกตั้งปี 62 ก็เคยเสนออย่างนี้มาครั้งหนึ่งและกลุ่ม NGO ก็เคยเสนอคล้าย ๆ กันแต่แตกต่างในรายละเอียด แต่ในวิธีคิดของคุณมิ่งขวัญนั้น เป็นการเสนอ “ลด” ภาษี และ “ยกเลิก” มาตรการบางอย่าง
อย่าลืมว่าธุรกิจน้ำมันนั้นมีความสลับซับซ้อนเกินกว่าจะแก้ปัญหา “แบบชั้นเดียวเชิงเดียว” ต้องเข้าใจต้นตอทำให้ราคาน้ำมันในประเทศแพงเพราะ “โครงสร้างราคาน้ำมัน” ในบ้านเราสลับซับซ้อน โดยแบ่งได้เป็น 3 ส่วนหลัก ๆ ดังนี้
ส่วนแรก “ต้นทุนเนื้อน้ำมัน” ที่ซื้อมาจากโรงกลั่น หรือ “ราคา ณ โรงกลั่น” ซึ่งอ้างอิงมาจากราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดสิงคโปร์ ตรงนี้ คนสงสัยกันมากว่าในเมื่อเรานำเข้าน้ำมันดิบมากลั่น ณ โรงกลั่นในบ้านเรา ทำไมต้องไป “อ้างอิงราคา” ณ โรงกลั่นสิงคโปร์ที่ทำให้ต้นทุนเพิ่มเนื่องจากมีการ “บวกค่าใช้จ่ายเทียม” อย่างค่าขนส่งทางเรือค่าประกันภัยและค่าอื่น ๆ เข้าไป ถามว่าเป็นธรรมต่อผู้บริโภคหรือไม่
ในกรณีนี้ อาจจะอ้างอิงราคาสิงคโปร์ได้เพื่อเปรียบเทียบกับราคาน้ำมันในตลาดโลก แต่ไม่ควรจะคิดเป็นต้นทุนเพราะไม่มีอยู่จริงทำให้บริษัทน้ำมันได้ประโยชน์เต็ม ๆ แต่ประชาชนต้องควักกะเป๋าจ่ายเต็ม ๆ เช่นกัน
ส่วนที่ 2 เป็น “ค่าภาษี” และ “เงินนำส่งกองทุน” ต่าง ๆ ที่รัฐบาลเรียกเก็บมีสัดส่วนโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 32% ในส่วนของภาษีประกอบด้วย ภาษีสรรพสามิต, ภาษีเทศบาล หรือ “ภาษีบำรุงท้องถิ่น” และภาษีมูลค่าเพิ่ม เบ็ดเสร็จภาษีที่ต้องจ่ายน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล น้ำมันดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนช้า อัตราลิตรละ 0.25 บาทส่วนน้ำมันก๊าดและน้ำมันเตา อัตราลิตรละ 0.07 บาท เท่ากัน
มีข้อน่าสงสัยว่า ทำไมรัฐบาลต้องเก็บภาษีซ้ำซ้อนอีกทั้งภาษีมูลค่าเพิ่มก็มีการเก็บทุกขั้นตอนที่มีการซื้อขาย ทำไมไม่เก็บเฉพาะภาษีที่จำเป็นจริง ๆ ตรงนี้รัฐควรจะทบทวนมาตรการเก็บภาษีประเภทใดประเภทหนึ่งหรืออาจจะ “ลดอัตราภาษี” แต่ละประเภทลงก็ได้ แต่ต้องสมเหตุสมผลเพราะภาษีเป็นเครื่องมือในการนำมาใช้เป็นงบประมาณในการพัฒนาประเทศ
ขณะเดียวกันยังจัดเก็บเงินเข้า “กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง” อ้างว่าเพื่อรักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมัน โดยคิดไปว่าหากน้ำมันราคาถูกคนจะใช้ฟุ่มเฟือยจึงต้องทำให้ราคาสูงๆโดยหักเงินค่าน้ำมันเข้ากองทุนคนจะได้ใช้น้ำมันอย่างประหยัด เป็น “ตรรกะวิบัติ” และยังมีการจัดเก็บเงินเข้า “กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน” อ้างว่าเพื่อส่งเสริม และสนับสนุนการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
ต้องบอกว่า กองทุนน้ำมันเกิดขึ้นด้วยเหตุผลทางการเมืองและปรัชญาที่ผิด ๆ ที่คิดว่าหากราคาน้ำมันถูกมาก ๆ คนใช้เยอะ และตอนนี้การเมืองใช้กองทุนน้ำมันในการหาเสียง เช่นไปอุดหนุนพืชบางตัวในพื้นที่ที่เป็นฐานคะแนน เช่น มันสับปะหลัง ปาล์ม เป็นต้น แต่หากคิดจะยกเลิกคงยากเพราะกองทุนน้ำมัน ตอนนี้ติดหนี้ กว่าแสนล้าน บาทหากจะเลิกต้องหาเงินล้างหนี้ให้ได้ก่อน
อย่างไรก็ตามในส่วนของการจัดเก็บเงินนำส่งทั้ง 2 กองทุนนั้น คนไทยยังกังขาใน “ความโปร่งใส” ประชาชนไม่เคยได้รับรู้ว่าในแต่ละวันเข้ากองทุนน้ำมันเท่าไหร่ออกเท่าไหร่ไม่รู้ว่าตัวเลขที่เปิดเผยจริงหรือเท็จ
ที่สำคัญ “กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน” เป็นที่ร่ำลือว่าเป็นแหล่งผลประโยชน์ของกลุ่มคนบางกลุ่มที่เอาโครงการอนุรักษ์พลังงานมาบังหน้า จะว่าไปแล้วกองทุนอนุรักษ์พลังงาน “ควรจะยุบที่สุด” ไม่ได้มีประโยชน์กับประชาชนเพราะเป็นแหล่งกอบโกยของนักการเมืองหรือผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน รวมถึงบริษัทเอกชนด้านพลังงานที่ร่ำรวยกันอู้ฟู่เพราะรัฐเอาเงินส่วนนี้เข้าไปอุดหนุนผู้ประกอบการธุรกิจพลังงานสะอาด
นอกจากนี้ยังมี ต้นทุนส่วนที่ 3 เป็น “ค่าการตลาด” ของผู้ประกอบการ หรือปั๊มน้ำมัน มีสัดส่วนเฉลี่ยอยู่ที่ 6% เป็นรายได้จากการขายน้ำมันที่หน้าหน้าปั๊ม ซึ่งยังไม่ได้หักค่าใช้จ่ายใดๆอันนี้เป็นส่วนที่คนอาจจะคลางแคลงใจบ้างว่าสูงไปหรือไม่แต่ก็ยังพอรับได้
นี่คือ เบื้องหลังที่ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันในบ้านเราสูงกว่าที่ควรจะเป็นและสูงกว่าหลาย ๆ ประเทศที่โครงสร้างราคาน้ำมันไม่ซับซ้อน
ฉะนั้นถึงเวลาที่ต้องทบทวนการจัดเก็บภาษีน้ำมันในอัตราปัจจุบันอย่างจริงจังและกองทุนน้ำมันบางกองทุน อย่าง”กองทุนอนุรักษ์พลังงาน”ยังมีประโยชน์อีกหรือไม่ ซึ่งควรจะต้องยุบทิ้งได้แล้ว แม้กระทั่ง “ค่าการตลาด” ที่ดูเหมือนไม่สูงมากแต่เมื่อเทียบกับปริมาณที่ใช้ในแต่ละปีทำให้บริษัทน้ำมันมีกำไรมหาศาลก็ควรต้องทบทวนเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม กรณีน้ำมันนั้นซับซ้อน จะต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบและชอบธรรม ยึดประโยชน์ของประชาชนและบ้านเมืองเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่คิดจะใช้อำนาจแก้ปัญหาแบบทุบโต๊ะ หรือเป็นแค่เครื่องมือหาเสียงแล้วเงียบหายไปกับสายลม
เหลียวมองเพื่อนบ้าน ทำไม “เศรษฐกิจไทย” โตช้า
“สุญญากาศ-เกียร์ว่าง” หลุมดำเศรษฐกิจไทย