ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามาสร้างความเฉพาะบุคคล (Personalization) ให้กับบริการเกือบทุกประเภท ตั้งแต่ความบันเทิงไปจนถึงการจับจ่ายใช้สอย อุตสาหกรรมประกันภัยก็กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเช่นกัน โดยโมเดล “หนึ่งราคาสำหรับทุกคน” (One-Size-Fits-All) ที่ใช้กันมาอย่างยาวนาน กำลังถูกท้าทายด้วยแนวทางที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ซึ่งมุ่งสร้างความยุติธรรมและเบี้ยประกันที่แม่นยำยิ่งขึ้นสำหรับผู้บริโภคแต่ละราย
นิโคลัส ฟาเกท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง บริษัท รู้ใจประกันภัย จำกัด (มหาชน) (Roojai Insurance PCL) เปิดเผยว่า แนวคิด “การประกันภัยรายบุคคล” (Personalized Insurance) ที่ใช้ข้อมูลเชิงลึก 3 มิติ คือ รถยนต์ ผู้ขับขี่ และลักษณะการใช้งาน เพื่อกำหนดเบี้ยประกันที่แตกต่างกันสำหรับลูกค้าแต่ละราย สามารถทลายข้อจำกัดของโมเดลประกันภัยแบบดั้งเดิมที่ใช้ “ราคาเดียวสำหรับทุกคน” (One-Size-Fits-All) ได้อย่างสิ้นเชิง โดยระบุว่าแนวทางนี้ไม่เพียงสร้างความยุติธรรมให้ผู้ขับขี่ความเสี่ยงต่ำ แต่ยังช่วยสร้างพฤติกรรมการขับขี่ที่ปลอดภัยขึ้นบนท้องถนน
ปัญหาโมเดล “ราคาเดียว” ที่ตัวแทนต้องการ
อุตสาหกรรมประกันภัยรถยนต์ในไทยถูกขับเคลื่อนโดยช่องทางตัวแทนและนายหน้า ซึ่งต้องการความเรียบง่ายในการขาย ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่เป็นแบบมาตรฐาน ทำให้ผู้ขับขี่ที่มีความเสี่ยงต่างกันสิ้นเชิงต้องจ่ายเบี้ยประกันในราคาเดียวกัน
“ผู้ขับขี่วัยหนุ่มสาวที่ขับรถปีละ 50,000 กิโลเมตรในกรุงเทพฯ มีแนวโน้มต้องจ่ายเบี้ยเท่ากับผู้ขับขี่สูงวัยที่ขับเพียง 10,000 กิโลเมตรในต่างจังหวัดหากใช้รถรุ่นเดียวกัน นี่คือสถานการณ์ที่ผู้ขับขี่ที่ดีต้องจ่ายเบี้ยอุดหนุนผู้ขับขี่ที่เสี่ยงกว่า” นิโคลัส กล่าว
ใช้ข้อมูล 3 มิติ สร้างราคาเฉพาะบุคคล

ด้วยเหตุนี้ รู้ใจประกันภัยจึงนำเสนอแนวทาง Direct-to-Consumer (D2C) เพื่อเก็บข้อมูลจากลูกค้าโดยตรง นิโคลัส อธิบายว่าบริษัทใช้คำถามประมาณ 15 ข้อเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลใน 3 มิติหลัก โดยมิติแรกคือ ข้อมูลรถยนต์ (Vehicle) ซึ่งลงลึกมากกว่าแค่ยี่ห้อรุ่น แต่รวมถึงการมีกล้อง ประเภทตัวถัง และชนิดเชื้อเพลิง
ตามมาด้วยมิติที่สองคือ ข้อมูลผู้ขับขี่ (Driver) ที่ครอบคลุมทั้งอายุ เพศ ประสบการณ์ ประวัติการเคลม และพฤติกรรมการซื้อประกัน และมิติสุดท้ายคือ ลักษณะการใช้งาน (Usage) ซึ่งพิจารณาถึงพื้นที่ที่ใช้รถในระดับรหัสไปรษณีย์ ระยะทางต่อปี และวัตถุประสงค์การใช้งาน เช่น การขับไปทำงาน โดยกระบวนการนี้สามารถสร้างรูปแบบราคาที่แตกต่างกันได้ถึง 40 ล้านรูปแบบ ทำให้ลูกค้าแต่ละคนได้รับราคาที่สะท้อนความเสี่ยงของตนเองอย่างแท้จริง
ตัวเลขพิสูจน์ความสำเร็จในการคัดกรองความเสี่ยง
ข้อมูลที่พิสูจน์ประสิทธิภาพของโมเดลนี้ว่าประสบความสำเร็จในการดึงดูดลูกค้าความเสี่ยงต่ำ โดยพบว่า 95% ของลูกค้าในพอร์ต ขับรถน้อยกว่า 30,000 กิโลเมตรต่อปี ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความถี่ในการเกิดอุบัติเหตุน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ 90% ของลูกค้ายังเลือกกรมธรรม์แบบ “ระบุชื่อผู้ขับขี่” เพื่อแลกกับเบี้ยที่ถูกลง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าลูกค้าเข้าใจและยอมรับความเสี่ยงที่จัดการได้ แต่ข้อมูลที่น่าทึ่งที่สุดคือ กว่า 80% ของลูกค้าเลือกกรมธรรม์แบบมี “ค่าเสียหายส่วนแรก” (Excess) ซึ่งสวนทางกับตลาดทั่วไปและชี้ให้เห็นถึงความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าเมื่อมีทางเลือก
การเลือกมีค่าเสียหายส่วนแรกไม่เพียงช่วยลดเบี้ย แต่ยังส่งผลต่อพฤติกรรมโดยตรง “ข้อมูลของเราแสดงให้เห็นว่า ลูกค้าที่เลือกมีค่าเสียหายส่วนแรก มีแนวโน้มเกิดอุบัติเหตุต่อบุคคลภายนอกน้อยลง 10-16% เพราะพวกเขามีความระมัดระวังมากขึ้นเมื่อรู้ว่าต้องร่วมรับผิดชอบความเสี่ยง หากแนวคิดนี้ถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลาย อาจช่วยลดจำนวนผู้เสียชีวิตบนท้องถนนในไทยได้ถึงปีละ 2,000 คน”
อนาคตคือ “เทเลเมติกส์” และบริการเฉพาะบุคคล
สำหรับทิศทางในอนาคต นิโคลัสเชื่อว่า เทเลเมติกส์ (Telematics) คือก้าวต่อไปที่จะยกระดับการประกันภัยไปอีกขั้น โดยจะเปลี่ยนจากการใช้ข้อมูลบ่งชี้ (Proxy Data) ไปสู่การใช้ข้อมูลพฤติกรรมการขับขี่จริง เช่น ความเร็ว การเบรก และการเข้าโค้ง เพื่อมอบบริการเสริมเฉพาะบุคคล เช่น การแจ้งเตือนอุบัติเหตุอัตโนมัติ หรือการแจ้งเตือนภัยน้ำท่วม
นิโคลัสทิ้งท้ายว่า แม้โมเดล “ราคาเดียว” จะยังครองตลาดอยู่ (ประมาณ 95%) แต่การประกันภัยรายบุคคลคือกลยุทธ์การเติบโตที่ชาญฉลาดกว่าการแข่งขันด้วยสงครามราคา เพราะเป็นการเติบโตจากการคัดเลือกความเสี่ยงที่ดีกว่า และตอบสนองต่อพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งต้องการความโปร่งใสและยุติธรรมมากขึ้น
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ประกันภัยไทย ชู ‘Embedded-AI’ รับมือพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่
AIS ทุ่ม 4 พันล้าน เปิดตัว ‘THAI Hyperscale Cloud’