Share on
×

Share

ดร.พัทน์ ภัทรนุธาพร ถอดรหัสอนาคต AI ที่ไม่ได้มาเพื่อแทนที่ แต่มาเพื่อส่งเสริม ‘ความเป็นมนุษย์’

ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กลายเป็นส่วนหนึ่งของทุกวงการสนทนา ดร.พัทน์ ภัทรนุธาพร Co-Director, Advancing Humans with AI (AHA) นักวิจัยจาก MIT Media Lab ได้นำเสนอมุมมองที่ลึกซึ้งและแตกต่างออกไป บนเวทีสัมมนา “The Story Thailand Forum 2025: Sustainability on the Age of AI” โดยชี้ว่าอนาคต AI ที่ไม่ได้มาเพื่อแทนที่ แต่มาเพื่อส่งเสริม ‘ความเป็นมนุษย์ ‘เป้าหมายสูงสุดของ AI ไม่ใช่แค่การสร้างเทคโนโลยีที่ชาญฉลาด แต่คือการออกแบบปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับ AI เพื่อนำไปสู่ “Human Flourishing” หรือการส่งเสริมให้มนุษย์เติบโตงอกงามอย่างเต็มศักยภาพในทุกมิติ

AI for Human Flourishing

ดร.พัทน์ ซึ่งมีประสบการณ์ทำงานร่วมกับองค์กรชั้นนำอย่าง KBTG, OpenAI, Anthropic และแม้กระทั่งทีมสร้างสรรค์ซีรีส์ “Tomorrow and I” ของ Netflix ได้เปลี่ยนมุมมองจากการมอง AI แบบดั้งเดิม (Artificial Intelligence) ไปสู่แนวคิด IA (Intelligence Augmentation) ที่มุ่งเน้นการเพิ่มพูนศักยภาพของมนุษย์ และก้าวไปอีกขั้นสู่การส่งเสริม “Human Flourishing” ที่ครอบคลุมทั้งความเป็นอยู่ที่ดี (Well-being) สุขภาพจิต การเรียนรู้ และความสัมพันธ์ทางสังคม

“ทุกวันนี้เราตื่นเต้นกับ AI กันทั่วบ้านทั่วเมือง แต่เราต้องตั้งคำถามว่า ในวันที่เทคโนโลยีเหมือนคนมากขึ้น เรากำลังกดขี่ให้คนกลายเป็นเครื่องจักรหรือเปล่า เราควรจะใช้เทคโนโลยีทำให้เรามีความเป็นมนุษย์มากขึ้น” ดร.พัทน์กล่าวเปิดประเด็น

เจาะลึก 3 เทรนด์วิจัย AI พลิกโลกจาก MIT

ดร.พัทน์ ลงรายละเอียด 3 แกนหลักของงานวิจัย ที่กำลังจะมีบทบาทสำคัญ ซึ่งสะท้อนให้เห็นภาพอนาคตของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และ AI ได้อย่างเป็นรูปธรรม

1. Large Human Models: เมื่อ AI จำลองพฤติกรรมมนุษย์ได้

เทรนด์แรก คือการสร้างแบบจำลองมนุษย์ขนาดใหญ่ (Large Human Models) โดยใช้ข้อมูลจากผู้คนนับหมื่นใน 64 ประเทศทั่วโลก เพื่อสร้างแบบจำลองพฤติกรรมมนุษย์ที่ซับซ้อน ซึ่งปัจจุบันมีความแม่นยำในการทำนายความพึงพอใจในชีวิต (Life Satisfaction) อยู่ที่ประมาณ 50-70%

หนึ่งในงานวิจัยที่น่าทึ่ง คือการนำแนวคิดจากหนังสือ “Why Nations Fail” มาสร้างเป็นโลกเสมือนเพื่อทดลองนโยบายสังคม ซึ่งผลการจำลองชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า สภาพสังคมที่เอื้อประโยชน์ให้คนทุกกลุ่มส่งผลโดยตรงต่อระดับความสุขของผู้คนในสังคมนั้น ๆ ไม่เพียงแค่ในระดับสังคม แต่เทคโนโลยีนี้ยังถูกนำมาใช้ในระดับปัจเจกบุคคลผ่านโครงการ “Future You” ที่ร่วมพัฒนากับ KBTG ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานกว่า 190 ประเทศทั่วโลกได้พูดคุยกับ “ตัวตนเสมือน” ของตัวเองในวัย 60 ปี ผลการวิจัยพบว่าสามารถลดความวิตกกังวล (Anxiety) และอารมณ์เชิงลบ (Negative Emotion) ได้จริง จนได้รับรางวัล World Changing Ideas ประจำปี 2025 จากนิตยสาร Fast Company

KBTG ผงาด! โปรเจกต์ ‘Future You’ คว้าสุดยอดรางวัลระดับโลก ‘World Changing Ideas’ สร้างชื่อคนไทยบนเวทีนวัตกรรม AI

โครงการ Cyber Subin

ยิ่งไปกว่านั้น AI ยังก้าวข้ามขอบเขตไปสู่การเป็นผู้พิทักษ์และต่อยอดมรดกทางวัฒนธรรมในโครงการ Cyber Subin ที่ร่วมมือกับ อ.พิเชษฐ กลั่นชื่น ศิลปินแห่งชาติ โดยใช้ AI เรียนรู้และถอดรหัสองค์ประกอบจากท่ารำแม่บท 59 ท่าของ “โขน” เพื่อสร้างสรรค์ท่ารำใหม่ที่ยังคงมี “DNA ของโขน” อยู่ ซึ่งผลงานชิ้นนี้ได้ไปเปิดการแสดงรอบปฐมทัศน์ที่เนเธอร์แลนด์ และได้รับเกียรติจากสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งเนเธอร์แลนด์เสด็จฯ มาทอดพระเนตรด้วย

2. Proactive Agents: AI ผู้ช่วยเชิงรุกที่ไม่รอคำสั่ง

Wearable reasoner

เทรนด์ที่สองคือ AI ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเชิงรุก (Proactive Agent) เปรียบเสมือน “สมองที่สอง” ที่เข้ามาช่วยเหลือมนุษย์ได้เองโดยไม่ต้องรอคำสั่ง ตัวอย่างเช่น การพัฒนา AI ในรูปแบบอุปกรณ์สวมใส่ (แว่นตา) ที่สามารถฟังบทสนทนาและตั้งคำถามกลับเมื่อได้ยินข้อมูลที่ไม่สมเหตุสมผล เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้คิดอย่างมีวิจารณญาณ ซึ่งผลงานนี้ได้รับการยกย่องในรายงานของ UNDP (United Nations Development Programme) ในบริบทของการทำงานร่วมกัน โครงการที่พัฒนาร่วมกับ KBTG ได้สร้าง AI ที่มีเคอร์เซอร์ (Cursor) ที่สองบนหน้าจอ สามารถทำงานร่วมกับผู้ใช้ได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยลดภาระทางสมอง (Cognitive Load) และเพิ่มความพึงพอใจในการทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ บทบาทของ AI เชิงรุกยังถูกขยายไปสู่การเป็น “ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง” (Agent of Change) ในสังคม ผ่านโครงการที่สร้าง AI ในร่างของปลาวาฬขึ้นมาพูดคุยโน้มน้าวให้คนลดใช้พลาสติก ซึ่งผลการทดลองชี้ว่าสามารถเพิ่มพฤติกรรมใส่ใจสิ่งแวดล้อมและความเชื่อในประเด็น Climate Change ได้อย่างมีนัยสำคัญ

3. Beyond Accuracy: การวัดผลกระทบ AI ที่ลึกซึ้งกว่าเดิม

ประเด็นสุดท้ายที่ ดร.พัทน์เน้นย้ำ คือการประเมิน AI ต้องมองให้ครบ 6 มิติของมนุษย์ ไม่ใช่แค่วัดความแม่นยำทางเทคนิค ท่านได้เปิดเผยผลการวิจัยแบบ Randomized Control Trial ขนาดใหญ่ที่ทำร่วมกับ OpenAI ซึ่งพบว่ากลุ่มผู้ใช้งาน ChatGPT อย่างหนัก (Extreme User) มีแนวโน้มที่จะรู้สึกโดดเดี่ยว (Loneliness) และมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมน้อยลง ซึ่งชี้ให้เห็นว่าพฤติกรรมของ AI ที่เป็นแบบ “Pro-social” (ส่งเสริมสังคม) หรือ “Anti-social” (ต่อต้านสังคม) มีผลต่อผู้ใช้อย่างยิ่ง

นอกจากผลกระทบทางจิตใจแล้ว ยังมีปัญหาเรื่อง “อคติที่ซ่อนเร้น” (Hidden Bias) ที่น่าเป็นห่วงไม่แพ้กัน โดยงานวิจัยที่ทำร่วมกับ ดร.ณัฐวุฒิ เผ่าทวี พบว่า AI สามารถสร้าง “ความทรงจำปลอม” (False Memory) ให้กับมนุษย์ได้ และยังมีอคติในการเลือกผู้สมัครงานที่มี “นามสกุลชนชั้นนำ” (Elite Last Name) ซึ่งเป็นปัญหาที่พบทั้งในบริบทของไทยและอเมริกา

“ถ้าเราอยากจะศึกษาพฤติกรรมที่มันมีร่วมกันระหว่างมนุษย์กับ AI เราจะต้องมองภาพให้มันใหญ่ และมองทั้งพฤติกรรมของมนุษย์กับ AI ควบคู่กันไป” ดร.พัทน์ กล่าวทิ้งท้าย

การบรรยายของ ดร.พัทน์ ภัทรนุธาพร ได้ทิ้งคำถามและวิสัยทัศน์ที่สำคัญให้กับแวดวงเทคโนโลยีและสังคมไทยว่า ท่ามกลางกระแสความตื่นตัวด้าน AI ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องออกแบบและกำกับดูแลเทคโนโลยีเหล่านี้ โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการยกระดับคุณภาพชีวิตและส่งเสริมความเป็นมนุษย์ให้งอกงามอย่างยั่งยืน

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

SCBX เผย 4 เทรนด์ AI ชี้ทางรอดธุรกิจคือ ‘การประยุกต์ใช้ ไม่ใช่สร้างใหม่’

AIS ทุ่ม 4 พันล้าน เปิดตัว ‘THAI Hyperscale Cloud’

×

Share

ผู้เขียน