Share on
×

Share

ใครไม่ตก “หลุมรายได้” บ้าง?

ในการพบสื่อครั้งล่าสุด ผู้ว่าแบงก์ชาติ เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ได้วิเคราะห์ว่าเศรษฐกิจไทยระหว่างปี 2566-2571 จะเติบโตได้แต่ราว 3% ซึ่งถือว่าเป็นระดับศักยภาพ และยากที่จะโตขึ้นไปถึงระดับ 4-5% เช่น 10 ปี ที่แล้ว เพราะเศรษฐกิจบ้านเราฟื้นตัวช้าเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ

ผู้ว่าแบงก์ชาติบอกด้วยว่า แม้ในภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังสามารถเติบโตได้ต่อเนื่องและเริ่มทยอยกับสู่ระดับศักยภาพ แต่เป็นการฟื้นตัวในภาพรวม หากยังซ่อนความยากลำบากของประชาชนอยู่อีกไม่น้อยที่เดือดร้อนจากรายได้ที่ยังฟื้นกลับมาไม่เต็มที่ ทั้งลูกจ้างนอกภาคเกษตร ผู้ประกอบอาชีพอิสระ แม้รายได้อาจจะกลับมาใกล้เคียงช่วงก่อน วิกฤติโควิด แต่ยังมี “หลุมรายได้” ที่เกิดจากรายได้ไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างที่ควรจะเป็นไปตามกาลเวลา แต่กลับมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นจากค่าครองชีพสูงขึ้น

ความหมายของหลุมรายได้ คือ รายจ่ายแซงรายได้ เทียบเคียงได้กับสำนวน ชักหน้าไม่ถึงหลัง ที่สำนักราชบัณฑิตสภาให้ความหมายว่า ขัดสนเพราะรายได้มีไม่พอคุ้มกับรายจ่าย รายได้ที่รับมาเมื่อต้นเดือนไม่พอใช้ไปถึงปลายเดือน

ประเด็นทำนองเดียวกัน ผู้ว่าแบงก์ชาติได้ไปพูดในงานสัมมนาที่สาขาแบงก์ชาติอีสานเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้อ้างถึงรายได้ของแรงงานทั้งประเทศในปี 2566 รายได้ของคนไทยทั้งประเทศน้อยกว่ากว่ารายจ่าย 2,663 บาทต่อเดือน แต่เมื่อแบ่งตามภาคพบว่า ภาคอีสานมีรายได้น้อยกว่ารายจ่าย 5,396 บาทสูงที่สุด ตามมาด้วยภาคเหนือติดลบ 3,112 บาท และภาคใต้ติดลบ 1,499 บาท ทำให้ครัวเรือนภาคอีสานต้องพึ่งพาเงินช่วยเหลือจากภาครัฐสูงที่สุดที่ 5,024 บาท นอกจากนั้น การที่แรงงานภาคอีสานอยู่ในภาคเกษตรมากที่สุด มีรายได้ในการเก็บเกี่ยวเพียงปีละครั้ง ทำให้การเพิ่มขึ้นของรายได้เกิดขึ้นค่อนข้างช้า

การที่คนไทยเกือบทั้งแผ่นดินมีรายได้น้อยกว่ารายจ่าย ทางออกของชีวิตคือพึ่งเงินกู้ทั้งในระบบและนอกระบบ จนเกิดปัญหาหนี้ครัวเรือน ณ ไตรมาสแรกปีนี้ มูลหนี้ครัวเรือนทั้งประเทศอยู่ที่ 16.44 ล้านล้านบาท ราว 91 % ของจีดีพี (ระดับเหมาะสมควรอยู่ที่ 80% ของจีดีพี)   

ปัญหาหนี้ครัวเรือนยังเชื่อมต่อไป ตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ NPL (ขาดส่งต่อเนื่อง 3 เดือน) ตามรายงานของบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ ระบุว่า NPL ของประเทศ ณ เดือน พฤษภาคมที่ผ่านมาอยู่ที่ 1.09 ล้านล้านบาท หรือ 8% ของหนี้รวม แยกย่อยอกเป็น หนี้จากรถยนต์ 2.4 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% (เทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว) หนี้บ้าน 1.99 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% หนี้สินเชื่อบุคคล 2.6 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% และหนี้บัตรเครดิต 6.4 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.6%

หนี้ครัวเรือนและหนี้เอ็นพีแอลได้ผูกต่อเป็นห่วงโซ่ปัญหาไปถึงความสามารถในการกู้และกำลังซื้อ ฯลฯ โดยปัญหาแสดงผ่านยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศมีจำนวน 72,954 หน่วย ต่ำสุดในรอบ 6 ปี นับตั้งแต่ปี 2561 จนถึงไตรมาสแรก ปี 2567 ลดลง 13.8% เมื่อเทียบไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้าที่มีจำนวน 84,619 หน่วย ตามรายงานของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC )

นอกจากนี้  ณ ไตรมาสแรกของปีที่ผ่านมา มูลค่าของสต็อกของที่อยู่อาศัยเหลือขายสูงถึง 1,212,916 ล้านบาท คนในวงการชี้ไปที่การปฏิเสธสินเชื่อของแบงก์ที่สูงถึง 50% (บางกระแสว่า 70%) จนต้องแบกสต็อกหลังแอ่นอยู่เวลานี้ และร้องขอมาตรการอุดหนุนจากรัฐบาลไม่หยุด 

เช่นเดียวกับตลาดรถยนต์  5 เดือนแรกปีนี้ยอดขายในประเทศรวมอยู่ที่ 260,365 ตัน ลดลงจากช่วงก่อนหน้า 23.8 % ถือเป็นสถิติตกต่ำระดับปรากฎการณ์ จนอุตสาหกรรมยานยนต์ประกาศลดเป้าขายในประเทศจากเดิมวางไว้ 750,000 คัน เหลือ 700,000 คัน ส่วนส่งออกยังคงเป้าไว้ 1,150,000 คันเช่นเดิม 

เมื่อถามถึงสาเหตุ  คนวงการรถยนต์ชี้โดยพร้อมเพรียงกันไปที่ปัญหาการถูกปฎิเสธสินเชื่อจากไฟแนซ์ที่สัดส่วนสูงกว่าช่วงที่ผ่าน ๆ มา ขณะที่ทางไฟแนนซ์ยืนยันว่าจำเป็นต้องเข้มงวดเพราะยอดยึดรถเยอะขึ้นเรื่อย ๆ จนลานจอดไม่พอ 

ไม่เพียงสินค้าราคาสูงอย่างอสังหาริมทรัพย์และรถยนต์เท่านั้นที่ยอดขายทรุดฮวบ ของกินของใช้ก็ร่วมชะตากรรมเดียวกัน   

สัปดาห์ที่แล้ว อัศวิน เตชะเจริญวิกุล ซีอีโอและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ หรือ BJC ผู้ขายของกินของใช้และทำธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ “บิ๊กซี” ออกมาให้ข่าวว่า  ได้ปรับเป้ายอดขายปีนี้ลงเหลือเติบโตไม่ถึง 5% จากเดิมคาดเติบโตมากกว่า 5% หลังไตรมาส 2 ปี 2567 ได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อลดลง ทั้งสินค้าอุปโภคและบริโภค โดยเฉพาะในภาคอีสาน

สถานการณ์ที่ยกมาเป็นตัวอย่างข้างต้นล้วนมีสาเหตุต้นทางจากเศรษฐกิจขยายตัวช้าและเติบโตต่ำ อานิสงน์จาการขยายตัวทางเศรษฐกิจกระจายไปไม่ทั่วถึงต่อเนื่องมาหลายปี  เนื่องจากบ้านเรามีปัญหาโครงสร้าง อาทิ ภาคการผลิตเราปรับตัวไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงของตลาด มีส่วนแบ่งตลาดในสินค้าที่ตลาดโลกต้องการมากคืออ ชิป รวมถึงชิ้นส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องน้อยกว่าหลายประเทศ     

เวลานี้ได้แต่ลุ้นให้นโยบายแจกเงินดิจิทัล 450,000 ล้านบาท ที่รัฐบาลภูมิใจนำเสนอให้ประชาชนนั้นจะสร้างปาฎิหาริย์ ก่อพายุหมุน 4 ลูก หอบเอาคนไทยขึ้นจากหลุมรายและพัดกำลังซื้อคืนมาได้สำเร็จ  … ว่าแต่มีใครไม่ตกหลุมรายได้บ้าง ?

×

Share