Share on
×

Share

บอร์ด EV ผ่านมาตรการลดภาษี HEV กระตุ้นการลงทุน 5 หมื่นล้านบาท มุ่งสู่ฐานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร

บอร์ด EV ได้อนุมัติมาตรการสนับสนุนผู้ผลิตรถยนต์ให้เปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ไฮบริด (HEV) ตั้งแต่ปี 2571 ถึง 2575 มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการผลิตและการใช้รถยนต์ HEV ในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศให้ครบวงจรและก้าวสู่การเป็นผู้นำระดับโลก

คาดว่ามาตรการลดภาษีนี้จะช่วยกระตุ้นการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทยได้ไม่น้อยกว่า 50,000 ล้านบาท และส่งผลให้ประเทศไทยกลายเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญในภูมิภาค

นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการบีโอไอ เผยว่า บอร์ด EV ได้อนุมัติมาตรการลดภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์นั่งและรถยนต์โดยสารขนาดเล็ก (ไม่เกิน 10 ที่นั่ง) แบบไฮบริด (HEV) เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยไปสู่เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และรักษาความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว

มาตรการนี้มี 4 เงื่อนไขหลัก ได้แก่

  1. ลดการปล่อยคาร์บอน: รถยนต์ HEV ต้องมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไม่เกิน 120 กรัมต่อกิโลเมตร
  2. ลงทุนเพิ่มเติม: ผู้ผลิตต้องมีการลงทุนจริงเพิ่มเติมไม่น้อยกว่า 3,000 ล้านบาท ในช่วงปี 2567-2570
  3. ใช้ชิ้นส่วนในประเทศ: รถยนต์ HEV ต้องใช้ชิ้นส่วนสำคัญที่ผลิตหรือประกอบในประเทศไทย โดยเฉพาะแบตเตอรี่ (ตั้งแต่ปี 2569) และชิ้นส่วนอื่นๆ (ตั้งแต่ปี 2571)
  4. ติดตั้งระบบความปลอดภัย: รถยนต์ HEV ต้องมีระบบความปลอดภัยขั้นสูงตามมาตรฐานที่กำหนด

มาตรการนี้คาดว่าจะช่วยกระตุ้นการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทย และขับเคลื่อนประเทศไปสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าทุกประเภทในระดับโลก โดยตอบโจทย์ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม คุณภาพชีวิต และเศรษฐกิจของประเทศ

มาตรการลดภาษี HEV: เงื่อนไขและรายละเอียด

เพื่อสนับสนุนการผลิตและการใช้รถยนต์ไฮบริด (HEV) ในประเทศไทย บอร์ด EV ได้อนุมัติมาตรการลดภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ HEV โดยมีเงื่อนไข 4 ข้อ ดังนี้:

1. การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2):

  • รถยนต์ HEV ต้องมีการปล่อย CO2 ไม่เกิน 120 กรัม/กิโลเมตร
  • อัตราภาษีสรรพสามิตจะแตกต่างกันตามระดับการปล่อย CO2:
    • ไม่เกิน 100 กรัม/กิโลเมตร: 6%
    • 101-120 กรัม/กิโลเมตร: 9%

2. การลงทุนเพิ่มเติม:

  • บริษัทผู้ผลิตรถยนต์และ/หรือบริษัทในเครือในประเทศไทย ต้องมีการลงทุนจริงเพิ่มเติมไม่น้อยกว่า 3,000 ล้านบาท ในช่วงปี 2567-2570

3. การใช้ชิ้นส่วนสำคัญที่ผลิตหรือประกอบในประเทศ:

  • รถยนต์ HEV ต้องใช้แบตเตอรี่ที่ผลิตในประเทศตั้งแต่ปี 2569
  • ต้องใช้ชิ้นส่วนสำคัญอื่นๆ ตั้งแต่ปี 2571 เป็นต้นไป โดยมีรายละเอียดดังนี้:
    • กลุ่มชิ้นส่วนมูลค่าสูง (3 ชิ้น): Traction Motor, Reduction Gear, Inverter
    • กลุ่มชิ้นส่วนมูลค่าปานกลาง (8 ชิ้น): BMS, DCU, คอมเพรสเซอร์ระบบปรับอากาศสำหรับ BEV, Electrical Circuit Breaker, DC/DC Converter, High Voltage Harness, Battery Cooling System, Regenerative Braking System
    • เงื่อนไขการใช้ชิ้นส่วน:
      • ลงทุน 5,000 ล้านบาทขึ้นไป: เลือกใช้ 3 ชิ้นในกลุ่มมูลค่าสูง หรือ 2 ชิ้นในกลุ่มมูลค่าสูง + 2 ชิ้นในกลุ่มมูลค่าปานกลาง หรือ 1 ชิ้นในกลุ่มมูลค่าสูง + 4 ชิ้นในกลุ่มมูลค่าปานกลาง
      • ลงทุน 3,000-5,000 ล้านบาท: ต้องใช้ 3 ชิ้นในกลุ่มมูลค่าสูงเท่านั้น

4. การติดตั้งระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ (ADAS):

  • รถยนต์ HEV ต้องมีระบบ ADAS อย่างน้อย 4 จาก 6 ระบบต่อไปนี้:
    • ระบบเบรกฉุกเฉินขั้นสูง (AEB)
    • ระบบเตือนการชนด้านหน้าของรถ (FCW)
    • ระบบการดูแลภายในช่องจราจร (LKAS)
    • ระบบเตือนการออกนอกเลนโดยไม่ตั้งใจ (LDW)
    • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC)
    • ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (AHB)

บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่ต้องการรับสิทธิลดภาษี HEV ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขทั้ง 4 ข้อข้างต้นก่อน จึงจะได้รับการพิจารณาอนุมัติจากบอร์ด EV

ที่ประชุมบอร์ดอีวี ได้มอบหมายให้บีโอไอ ร่วมกับกระทรวงการคลัง นำมาตรการนี้เสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนออกประกาศต่อไป

นฤตม์ กล่าวเน้นย้ำถึงศักยภาพของรถยนต์ HEV ที่มีแนวโน้มการเติบโตสูงทั้งในตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ ด้วยความสามารถในการประหยัดพลังงาน ลดมลภาวะ และเป็นก้าวสำคัญสู่การเปลี่ยนผ่านไปยังยานยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ

รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญของ HEV ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย จึงผลักดันมาตรการลดภาษีเพื่อดึงดูดการลงทุน คาดว่าจะมีผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำไม่น้อยกว่า 5 ราย เข้าร่วมโครงการ สร้างเม็ดเงินลงทุนในช่วง 4 ปีข้างหน้ารวมกว่า 50,000 ล้านบาท

นอกจากเม็ดเงินลงทุนแล้ว มาตรการนี้ยังส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมต่อเนื่อง โดยเพิ่มสัดส่วนการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ รักษาและต่อยอดฐานผู้ผลิตชิ้นส่วนไทย และเสริมความแข็งแกร่งให้กับประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ครบวงจรระดับโลก

บอร์ด EV ได้รับทราบความก้าวหน้าของมาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาล โดยบีโอไอได้อนุมัติการส่งเสริมการลงทุนในโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ทั้งการผลิตยานยนต์ BEV แบตเตอรี่ ชิ้นส่วนสำคัญ และสถานีอัดประจุไฟฟ้า รวมมูลค่าการลงทุนกว่า 80,000 ล้านบาท

มาตรการ EV3 และ EV3.5 ของกรมสรรพสามิตก็ได้รับการตอบรับอย่างดี มีผู้ผลิตรถยนต์เข้าร่วมแล้ว 24 แบรนด์ คิดเป็นจำนวนยานยนต์รวมกว่า 118,000 คัน

ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV เพิ่มขึ้น 19% และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 38% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจุบันมียานยนต์ BEV ทุกประเภทจดทะเบียนสะสมในประเทศไทยรวมทั้งสิ้น 183,236 คัน สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของมาตรการส่งเสริม EV ของรัฐบาล และแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย

×

Share

ผู้เขียน