ตลาดหุ้นโลกเดือนสิงหาคมเรียกว่าเดาใจกันไม่ถูกเลยจริงไหมครับจาก Black Friday สู่ Black Monday ที่ตลาดหุ้นโลกดิ่งหนัก นักลงทุนรีบเทขาย แต่สัปดาห์ถัดมาข่าวกลับพาดหัวตลาดเป็น Green Tuesday เฉยเลย
เดี๋ยว แดง เดี๋ยว เขียว พาสับสน ตลาดหุ้นก็เป็นอย่างนี้แหละครับ เอาอะไรแน่นอนไม่ได้ ใครที่พลั้งมือขายหุ้นไปตามข่าวก่อนหน้านี้ ตอนนี้อาจจะคิดหนักว่าจะทำยังไงต่อดี ถ้าคุณจะตัดสินใจทำอะไรในช่วงนี้ก็ควรทำให้ถูกต้องครับ เพื่อให้ตัวเองเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้น
วันนี้ผมมีคำแนะนำดี ๆ มาฝากกันครับ ว่าช่วงนี้คุณควรลงทุนแบบไหนดี
ก่อนอื่นผมย้ำว่าถ้าจะลงทุนระยะยาว ก็ต้องมองให้ยาวครับ… วันนี้ผมเลยอยากให้คุณมองตลาดหุ้นยาว ๆ ไปพร้อมกัน และเฟ้นหาจังหวะในวิกฤติ ถ้าเกิดขึ้นแล้วต้องทำอย่างไรถึงถูกวิธี อ่านจนจบก็ทำตามกันได้เลยครับ
ก่อนหาโอกาส ต้องเข้าใจว่าวิกฤติเกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติ
ช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นทั่วโลกตกหนักครับ นักลงทุนเปิดพอร์ตมาแทบหน้ามืด ซึ่งเหตุผลใหญ่ ๆ ที่ลากตลาดหุ้นให้ร่วงลงก็มาจากหลายปัจจัยครับ ไม่ว่าจะเป็นความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย หุ้นเทคฯ สหรัฐฯ เองก็ร่วงระนาว เหล่าหุ้น AI ที่เคยหน้าชื่นตาบานก็ดิ่งไปพร้อมๆ กัน รวมไปถึงสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ที่ก็ทวีความรุนแรงมากขึ้น แต่ถ้ามองย้อนไปแล้ว วิกฤติเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นครับ
ในวัฏจักรทางเศรษฐกิจ (Economic Cycle) กว่า 100 ปี จะแบ่งช่วงของวิกฤติต่าง ๆ เป็น 4 ช่วง คือ ฟื้นตัว (Recovery) จุดสูงสุด (Peak) ถดถอย (Recession) และตกต่ำ (Trough) ซึ่งในแต่ละช่วง ก็จะเป็นจังหวะของการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่แตกต่างกันครับ
แต่ทุก ๆ ครั้งที่เศรษฐกิจผ่านจุดถดถอยไปได้ ก็จะกลับมาเติบโตได้อีกครั้งจาก GDP ที่ปรับขยายเพิ่มขึ้นหลังจากช่วงระยะเวลาที่ตกต่ำ ที่สำคัญ…หากผ่านช่วงที่ตกต่ำไปได้ จุดสูงสุดถัดไปจะสูงกว่าจุดเดิมเสมอ หรือก็คือดัชนีจะทำ New High นั่นเอง
นี่อาจจะเป็นเหตุผลครับว่า…ทำไมคนที่กระโดดเข้าหาโอกาสลงทุนในวิกฤติ ถึงหัวเราะทีหลังดังกว่าเสมอ และใช่ครับ! ตอนนี้มีโอกาสในวิกฤตินี้อยู่ ในการลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ครับ โอกาสนี้ มีโชค 2 ต่อด้วย!
นอกจากจังหวะที่หุ้นหลาย ๆ ตัว ปรับฐานลงมารอให้คุณคว้าโอกาสแล้ว การลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตอนนี้ยังได้รับประโยชน์จากค่าเงินบาทที่ค่อยๆ แข็งค่าอย่างต่อเนื่องจากแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ปัจจุบันอัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาทอยู่ที่ 35.40 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งแข็งค่าขึ้นจากช่วงพีคกว่า 5% เลยครับ แล้วด้วยสถานการณ์ต่าง ๆ ก็บีบให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ เร่งปรับลดดอกเบี้ย บวกกับที่สหรัฐฯ มีแนวโน้มจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยก็ยิ่งเพิ่มโอกาสให้ Fed เห็นดีเห็นงามในการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาวด้วยครับ
แล้วโชค 2 ต่อคืออะไร?
- แลกเงินดอลลาร์ตอนนี้ ใช้เงินบาทน้อยลง
- หุ้นราคาถูก ที่ซื้อด้วยเงินที่ได้มาในราคาถูก
โอกาสรับโชค 2 ต่อ พอร์ตโตหลายเด้งรอคุณอยู่ครับ ก่อนตัดสินใจผมยังมีข้อมูลอีกอย่างหนึ่งมายืนยันในความแข็งแกร่งที่ซ่อนอยู่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ
กว่า 78% ของหุ้นใน S&P 500 ยังมีงบการเงินที่สวยงามซ่อนอยู่ครับ
ย้อนกลับไปในช่วงวิกฤติ Dot Com ราคาหุ้นเติบโตสูงแต่รายได้กลับเติบโตตามไม่ทัน ทำให้มีการเทขายหุ้น แต่ในปัจจุบันไม่เป็นอย่างนั้นครับ อ้างอิงจากข้อมูลของ Factset ณ วันที่ 2 สิงหาคม ที่ผ่านมา บริษัทกว่า 75% ในดัชนี S&P 500 ที่มีการประกาศงบออกมา กว่า 78% มีกำไรต่อหุ้นที่สูงกว่าคาดการณ์และสูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีครับ บวกกับราคาหุ้นที่ปรับลดลงมาในช่วงก่อนหน้า ทำให้ Valuation ที่บอกความถูกแพงของหุ้นสหรัฐฯ ชี้ชัดว่า หุ้นถูก! P/E อยู่ที่ 20.7 เท่าครับ เป็นอีกหนึ่งข้อตอกย้ำ บอกสัญญาเริ่มลงทุน หรือเพิ่มทุนตอนนี้ครับ!
ซื้อถูก ขายแพง การลงทุนมันง่ายแค่นี้เองใช่มั้ยครับ? แล้วถ้าโอกาส ‘หุ้นดี ราคาถูก’ มาพร้อมโอกาสกำไรตั้งแต่เริ่มเพราะค่าเงินบาทแข็ง’ ที่รออยู่ตรงหน้าคุณแบบนี้ จะปล่อยให้หลุดมือได้หรอครับ? หากคุณยังเห็นภาพไม่ชัด ผมยังมีข้อมูลตลาดหุ้นที่น่าสนใจมาบอก
เริ่มแรกที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ นั่นเองครับ บริษัทต่าง ๆ ที่อยู่ในดัชนี S&P500 เริ่มประกาศผลประกอบไตรมาส 2 กันแล้วครับ คิดเป็น 93% จาก 500 บริษัทเลย หรือ 465 บริษัทและกว่า 79% ของ 465 บริษัทนั้น มีกำไรต่อหุ้นมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ครับ บอกโอกาสลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ รอเติบโตในระยะยาว
ตามมาด้วยตลาดหุ้นจีนครับ จากการวิเคราะห์ของทีม Jitta Wealth ในตอนนี้ อัตราส่วนเปรียบเทียบจำนวนหุ้นถูกต่อหุ้นแพง (P/E) จากหุ้น 50 ตัวที่ดีที่สุดของตลาดหุ้นจีน มีอัตราหุ้นถูกเทียบกับหุ้นแพงอยู่ที่ 48 หุ้น ต่อ 2 หุ้น ทำให้อัตราส่วนปัจจุบันมีหุ้นถูกมากกว่าแพงถึง 24 เท่า
อีกหนึ่งปัจจัยที่อาจจะกำลังเป็นผลดีกับตลาดหุ้นจีนเร็ว ๆ นี้คือ… สหรัฐฯ เตรียมปรับลดดอกเบี้ย เงินลงทุนก็อาจไหลกลับเข้า 1 ใน Emerging Market ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างจีน เพราะนักลงทุนจะเริ่มหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนมากขึ้น คุณก็สามารถลงทุนคว้าโอกาสเติบโตได้เลยตอนนี้ครับ
ส่วนแผนสุดท้ายที่ทีม Jitta Wealth คัดมาให้ครับ ได้แก่…สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดคือตลาดหุ้นเวียดนามครับ
ด้วย GDP ไตรมาส 2 ที่โตถึง 6.93% เกินเป้าหมายการเติบโตของปี 2567 นี้ที่ 6.5% หลาย ๆ บริษัทใหญ่เริ่มมองเวียดนามเป็นฐานการผลิตสินค้าต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทระดับโลกอย่าง Samsung Electronics หรือ Foxconn ที่ Apple เป็นลูกค้ารายใหญ่ในการสั่งผลิตสินค้า บวกกับกระทรวงวางแผนและการลงทุนของเวียดนามคาดว่าการลงทุนโดยตรงของต่างชาติในปีนี้ อาจโตถึง 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการเติบโต 3 ปีติดต่อกัน หากใครคว้าโอกาสซื้อหุ้นเวียดนามตอนนี้ ก็มีลุ้นโตระยะยาวเช่นกัน
ผมขอย้ำอีกครั้งครับ ไม่ว่าตลาดจะเป็นอย่างไร หากคุณตั้งใจลงทุนระยะยาวแล้วละก็ อย่าพลาด รีบคว้าโอกาสไว้ให้ได้นะครับ แล้วมาเติบโตไปด้วยกันนะครับ
บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน
แจกคาถาเสริมพอร์ตแกร่ง พร้อมชนทุกวิกฤติ
How to ลงทุนความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนปังกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก
จัดพอร์ตการลงทุน แบบ Core & Satellite บริหารความเสี่ยง อุ่นใจในทุกสถานการณ์