Share on
×

Share

ณัฐกร เวียงอินทร์นักสร้าง “แบรนด์” ผู้ผ่านความผกผันมาทุกสมรภูมิสื่อ

ยุคสื่อออนไลน์แบบโซเชียลมีเดียเฟื่องฟู อาชีพ content creator เป็นความใฝ่ฝันของคนจำนวนไม่น้อยเพราะมีโอกาสโด่งดังกลายเป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่ตามมาด้วยผลประโยชน์มากมาย กระทั่งบางคนสามารถสร้างชื่อเสียงพร้อมกับสร้างตัวในเวลาเพียงไม่กี่ปี ต่างจากนักสร้างคอนเทนต์ยุคสื่อดั้งเดิมที่ต้องผ่านการฝึกฝนและเคี่ยวกรำกับงานหนักเป็นเวลาหลายปีกว่าจะหาพื้นที่ของตัวเองเจอ

กอล์ฟ – ณัฐกร เวียงอินทร์ เป็นหนึ่งในนักสร้างคอนเทนต์ผู้ผ่านสมรภูมิสื่อมาหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ดิจิทัล สื่อออนไลน์อย่างเว็บไซต์ กระทั่งเข้าสู่ยุคโซเชียลมีเดีย จนวันนี้ตกผลึกกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญการสร้างแบรนด์ผ่านคอนเทนต์ ในฐานะ Head of Content & Branding, Future Trends บริษัท ไลค์มี จำกัด (Like Me)
เรื่องราวการเดินทางจากนักกิจกรรมสู่คนทำคอนเทนต์หลากหลายสื่อ จนเปลี่ยนบทเล่นมาเป็นนักสร้างแบรนด์ของเขามีข้อคิดและมุมมองดีๆ ที่น่าสนใจหลายเรื่องในบทสนทนาที่เขาสละเวลากว่า 2 ชั่วโมงให้กับ The Story Thailand

เริ่มเส้นทางงานสื่อจากหนังสือพิมพ์

จากเด็กที่โตมากับท้องทุ่ง เข้ากรุงมาช่วยงานร้านส้มตำข้างทางของแม่ระหว่างปิดเทอม เรียนเก่งจนได้รับเลือกเป็นตัวแทนโรงเรียนเข้าร่วมแข่งขันตอบปัญหาวิทยาศาสตร์ และเกมต่อคำศัพท์ภาษาอังกฤษอยู่เสมอ แม้การเรียนระดับมัธยมปลายในสายวิทย์-คณิตทำให้น่าจะเลือกเรียนคณะแพทยศาสตร์หรือเภสัชศาสตร์ได้ แต่เพราะขาดทุนทรัพย์ในการเรียนพิเศษเพิ่มเติม จึงเบนเข็มเลือกสอบเข้ามหาวิทยาลัยโดยอาศัยวิชาที่ใจรักและเรียนดีมาโดยตลอดคือภาษาไทยและสังคมศึกษา จนมาลงตัวที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเปิดโลกทัศน์ให้เห็นความเป็นไปได้ของชีวิตที่กว้างขวาง และจุดติดแรงบันดาลใจในการคิดและการเขียนตั้งแต่นั้นมา

ชีวิตในมหาวิทยาลัยที่ขลุกอยู่กับการอ่านวรรณกรรมซึ่งลุ่มลึกเชิงความคิด เรื่อยไปจนถึงปรัชญาการเมืองของเพลโต โสเครตีส อริสโตเติล คาร์ล มาร์กซ์ จนอยากทำงานเกี่ยวกับการเขียนหนังสือ อีกทั้งปรัชญาการเมืองมักชวนตั้งคำถามว่าสังคมที่ดีควรเป็นอย่างไร แต่เมื่อได้ชมภาพยนตร์มากพอก็อยากเป็นนักวิจารณ์ภาพยนตร์ สุดท้ายจึงตีกรอบความคิดได้ว่า การทำงานด้านการคิดการเขียนน่าจะเป็นทางที่ใช่ จึงมีเป้าหมายจะมุ่งไปทำงานสื่อ

ช่วง 4 ปีที่เรียนมหาวิทยาลัย เขาเป็นนักกิจกรรมตัวยงคนหนึ่ง เคยผ่านงานค่ายศึกษาพัฒนาชนบท 8 ค่าย เคยรวมกลุ่มกับเพื่อนทำวารสารคณะฯ แจกฟรี จัดฉายภาพยนตร์ที่มีประเด็นปัญหาการเมืองแตกต่างกันจาก 8 ทวีป ด้วยแนวคิด “เพราะทุกที่มีการเมือง” ในทุกสัปดาห์จนครบ 8 เรื่องใน 1 เทอม โดยเชิญอาจารย์หลายท่านมาร่วมเสวนาด้วย

หลังเรียนจบปริญญาตรีลงเรียนต่อหลักสูตรบัณฑิตศึกษา 1 ปี ใช้เวลาเตรียมความพร้อม 3 เดือน ก่อนออกเดินทางไกลไปเป็นครูดอยที่อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ เป็นเวลา 7 เดือน แม้ในท้ายที่สุดจะเรียนไม่จบหลักสูตรเพราะไมได้ทำวิจัย แต่ได้มีโอกาสศึกษาความเป็นไปของชุมชน รวมถึงใช้เวลากับการอ่านวรรณกรรมชั้นดีจำนวนมาก อาทิ ดาบมังกรหยก พี่น้องคารามาซอฟ หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว กระทั่งคัมภีร์ไบเบิล

ผมลงจากดอยมาก็สมัครงานนักข่าวที่หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจเพราะเป็นแฟนมติชนสุดสัปดาห์มาตั้งแต่ทำงานห้องค่ายที่คณะตอนสัมภาษณ์บอกเขาว่าอยากเป็นนักวิจารณ์ภาพยนตร์อยากทำข่าวด้านวรรณกรรมแต่ตำแหน่งข่าวที่ว่างตอนนั้นมีแค่ข่าวการเงินอสังหาริมทรัพย์ไอทีผมคิดแบบไร้เดียงสาว่าเคยทำค่ายมาพอรู้ราคาปูนราคาวัสดุก่อสร้างเลยเลือกทำข่าวอสังหาริมทรัพย์ส่วนไอทีตัดทิ้งไปเลยเพราะผมเพิ่งลงจากดอย

แต่งานที่ได้รับผิดชอบจริงกลับเป็น ดีไลฟ์ DLife” ของประชาชาติธุรกิจ ที่เน้นนำเสนอข่าวไลฟ์สไตล์ บทสัมภาษณ์ ท่องเที่ยว ภาพยนตร์ ละครเวที คอนเสิร์ต และศิลปะ

ตอนนั้นผมทำเยอะไว้ก่อนเพื่อปูพื้นฐานให้แน่นยกตัวอย่างข่าวงานสัปดาห์หนังสือฯผมจะคุยเชิงลึกกับทุกบูธแม้พื้นที่ข่าวมีจำกัดก็ตามทำให้ได้รู้จักกับสำนักพิมพ์ต่างๆหรือข่าวเกี่ยวกับดนตรีภาพยนตร์แรกเริ่มไม่รู้จักใครเลยผมจะโทรหาประชาสัมพันธ์ทุกค่ายเพลงทุกค่ายหนัง

เขาเป็นนักข่าวที่พิมพ์ดีดไม่เป็น ทุกวันต้องจ้างร้านอินเทอร์เน็ตพิมพ์ต้นฉบับแล้วส่งเข้าสำนักพิมพ์ช่วงบ่าย จนหัวหน้าข่าวรู้เข้าก็เตือนว่าเป็นนักข่าวอาชีพต้องทำงานได้ในทุกสภาวะ จึงตั้งใจฝึกฝนการพิมพ์ดีดจนเป็นภายในเวลา 2 เดือนกว่า

งานเขียนของผมอยู่ในระดับที่คนยอมรับมากขึ้นวัดจากการที่งานเขียนหลายชิ้นถูกนำไปเผยแพร่ต่อในสื่ออื่นเช่นการรีวิวคอนเสิร์ตถูกนำไปสื่อสารต่อในกระทู้พันธุ์ทิพย์ทำให้งานได้รับการมองเห็นจากคนภายนอกมากขึ้น

ณัฐกรบอกว่า ตลอดเวลา 4 ปีครึ่งของการทำงานสื่อกระดาษที่ประชาชาติธุรกิจ งานที่สะท้อนความเป็นตัวเองมากๆ คือ การทำสกู๊ปเรื่องโรงหนังทางเลือก ผ่านการสนทนากับคนในแวดวงภาพยนตร์ ผู้จัดเทศกาลฉายภาพยนตร์ นักวิจารณ์หนัง กระทั่งผู้ประกอบการโรงหนังทางเลือก

เรียนรู้งานสื่อออนไลน์และทีวีดิจิทัล

การเกิดขึ้นของสื่อออนไลน์และทีวีดิจิทัลเสมือนการได้เข้าโรงเรียนครั้งใหม่เพราะภูมิทัศน์สื่อเปลี่ยนแพลตฟอร์มเปลี่ยนต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะจับทางได้อีกทั้งรูปแบบสื่อออนไลน์ณขณะนั้นยังเป็นเว็บเพจไม่ใช่โซเชียลมีเดียเช่นปัจจุบันจึงแข่งขันกันที่เว็บเป็นหลัก

เมื่อเครือมติชนมีการลงทุนกับสื่อออนไลน์ เขาได้ย้ายมาร่วมงานทำเว็บไซต์ มติชนออนไลน์ ทั้งทำข่าวบันเทิง เป็นคอลัมนิสต์ และทำหน้าที่ติดตามสถิติต่างๆ บนเว็บไซต์เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์และเปรียบเทียบกับคู่แข่ง จนเมื่อเกิดโทรทัศน์ดิจิทัล ทำให้มีโอกาสร่วมทีม มติชนทีวี ในการผลิตข่าวให้กับช่องทีวีดิจิทัลของเวิร์คพอยท์ ได้เรียนรู้การทำงานทีวีอีกแขนงหนึ่ง กระทั่งได้รับหน้าที่เป็นครีเอทีฟรายการท่องเที่ยว “Checkin ถิ่นสยาม ทำให้ต้องทิ้งงานข่าวมาทำงานคิดสร้างสรรค์และออกแบบรายการ ก่อนลาออกมาหลังจากทำงานในเครือมติชนกว่า 7 ปี

ชีวิตเปลี่ยนแปลงอีกครั้งเมื่อได้งานที่ กรุงเทพธุรกิจทีวี ในฐานะครีเอทีฟรายการ Business Talk ช่อง Now26 และเป็นโปรดิวเซอร์รายการ ชั่วโมงที่ 26” ร่วมกับเทพชัย หย่อง ผ่านไประยะหนึ่งจึงได้ทำรายการบันเทิงช่วงเช้า จิ๊บจิ๊บกอสซิปบันเทิง ในมุมของการวิเคราะห์วิจารณ์วงการบันเทิงเป็นงานหลัก ทั้งเขียนวิจารณ์ภาพยนตร์ตีพิมพ์ในเซกชัน จุดประกาย หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ และนิตยสาร GQ Thailand เป็นงานรอง

จนปี 2558-2559 รู้สึกว่าได้ทำตามฝันการเป็นนักข่าวแล้ว ตั้งคำถามกับตัวเองว่าจะไปต่อในเส้นทางเดิมหรือออกไปทำอะไรใหม่ๆ เพราะทำมาครบทั้งสื่อกระดาษ สื่อออนไลน์ และทีวี ขาดแค่เพียงนิตยสารเท่านั้น จังหวะนั้นเริ่มมีการเปิดตัวสำนักข่าวออนไลน์ตระกูล “The” ทั้งหลาย อาทิ The Matter, The Standard, The Momentum ซึ่งเห็นว่าเป็นสนามที่น่าสนใจ เมื่อรุ่นพี่ที่เป็นบรรณาธิการนิตยสาร GM ยุคนั้น ชักชวนมาทำเว็บไซต์ GM Live ด้วยกัน จึงตัดสินใจลาออกจากกรุงเทพธุรกิจทีวีมาร่วมทีม 

หัวนิตยสาร 3 เล่มที่ผมใฝ่ฝันอยากจะมีงานเขียนตีพิมพ์ให้ได้คือมติชนสุดสัปดาห์แฮมเบอร์เกอร์และ GM ตอนย้ายมามติชนออนไลน์ทำให้มีงานเขียนลงในมติชนสุดสัปดาห์บ้างเริ่มมีคนเห็นงานของผมผ่านออนไลน์จนบรรณาธิการแฮมเบอร์เกอร์แชตมาชวนให้ไปเขียนวิจารณ์ภาพยนตร์ลงในนิตยสารของเขาบ้างพอได้มาทำ GM Live ถือว่าได้ทำตามความฝันสำเร็จ

แม้การทำงานที่ GM Live ในตำแหน่งบรรณาธิการจะทำให้มีโอกาสปั้นทีม สร้าง engagement แต่ที่ยังขาดหายไป คือ การสร้างแบรนด์ (Branding)

ช่วงนั้นนิตยสารแบบเป็นเล่มเริ่มหายไปจากตลาดส่วนตัวผมเองอยากผลิตคอนเทนต์เชิงลึกสำหรับกลุ่มผู้อ่านบนออนไลน์ซึ่งสื่อออนไลน์หลายแห่งอย่าง The Standard, The Matter หรือ The Momentum สามารถทำได้ผมจึงอยากทำให้ได้เช่นกันในวิถีของเราส่วนการพัฒนาคอนเทนต์และแบรนด์สื่อให้แข็งแรงผมมองว่าเป็นการทำงานเชิงความคิด

ร่วมก่อตั้งสื่อใหม่ในนาม The People

“The People คือโจทย์ที่มาในเวลาที่ถูกต้อง ณัฐกรย้อนความหลังในการร่วมก่อตั้งเว็บไซต์ที่ตอบสนองความต้องการทำสื่อแบบวิถีของเขาว่า

คอนเทนต์ของ The People มีจุดเริ่มที่ คน โดยบิดสมการข่าวจากการเริ่มต้นที่ What มาเป็น Who เปลี่ยนจากการอ่านข่าวมาเป็นฟังเรื่องเล่าของคน ส่วนที่สอง เป็นเรื่องของ แรงบันดาลใจ เพราะทุกคนล้วนมีเรื่องเล่าที่เป็นแรงบันดาลใจให้ตัวเอง ดังคำที่ว่า everyone has their own inspiring story

เรานำไอเดียนี้ไปเสนอนายทุนระหว่างการตัดสินใจออกจาก GM เพราะมีหลายอย่างที่ไปต่อไม่ได้เมื่อนายทุนเอาด้วยจึงลาออกมารับบทบาทบรรณาธิการที่ The People”

เมื่อความคิดตกผลึกว่า งานสื่อไม่ใช่แค่การทำคอนเทนต์แต่มีการสร้างแบรนด์เข้ามาเกี่ยวข้อง คำถามจึงเริ่มต้นที่ว่า นอกจากเอนเกจเมนต์แล้ว ทำอย่างไรจะสร้างแบรนด์ขึ้นมาได้ ประกอบกับช่วงปี 2562 เริ่มจับมือกับ FutureSkill แพลตฟอร์มการเรียนออนไลน์เพื่อพัฒนาทักษะของคนไทย ทำคอร์สเรียนออนไลน์เรื่อง Super Content ในนิยามที่คิดขึ้นเอง คือ เอนเกจเมนต์บวกกับการสร้างแบรนด์

เพราะถึงเอนเกจเมนต์ดีแต่แบรนด์ไม่ได้จะขาดเข็มทิศในการทำงาน ซึ่ง proposal ฉบับแรก มีการะบุอย่างชัดเจนถึงการต่อยอดแบรนด์ The People ไปสู่โปรเจกต์อื่นอีกมากมาย เช่น งาน The People Talk งาน The People Award หรืองาน The People Gold เป็นต้น

ตัวชี้วัดว่าเดินมาถูกทางคือยอดผู้ติดตามหลักหมื่นในสัปดาห์แรก คลิปวิดีโอคอนเทนต์ที่มีผู้ชมหลักล้านวิว โดยคลิปแรก คือบทสัมภาษณ์ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ตามมาด้วยเรื่องราวของนักธุรกิจ บุคคลในแวดวงประวัติศาสตร์ บุคคลทางสังคม และอื่นๆ รวมถึงการจัดงาน The People Talk และงาน The People Award

แต่เส้นทางการเป็นคนทำสื่อภายใต้ชายคาที่เขามีส่วนร่วมสร้างมาตั้งแต่ต้นก็ต้องสะดุดหยุดลงเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงผู้ลงทุน ซึ่งเขาเลือกเดินจากมาเพราะมีเงื่อนไขบางอย่างไม่ตรงกัน

งานสุดท้ายของผมก่อนลาออกคือคอนเสิร์ต Raining Cats & Dogs เป็นการจัดงานคอนเสิร์ตผสมงานการกุศลโดยวงโมเดิร์นด็อกและวงโพลีแคตรวมถึงเชิญอินฟลูเอนเซอร์สายน้องหมาน้องแมวอย่างทูนหัวของบ่าวมูลนิธิ The Voice (เสียงจากเรา) ของเก๋ชลลดามาร่วมระดมทุนมี Major Development เป็นสปอนเซอร์หลักทำให้เรียนรู้ว่าแบรนด์จะมีพลังได้ต้องวางแนวคิดและกลยุทธ์ให้ถูกทาง

ครบเครื่องเรื่องคอนเทนต์+แบรนด์+กลยุทธ์

ช่วงทำงานที่ The People ผมยังไม่มีความรู้เรื่องการตลาดแนวคิดเรื่องแบรนด์ของผมคือทำของดีออกมาก่อนให้ทุกคนยอมรับว่าของเราดีแล้วค่อยไปดูว่าลูกค้ากลุ่มไหนที่สนใจทั้งคนอ่านและผู้สนับสนุนเพราะเรามาทีหลังและไม่ใช่สื่อใหญ่

ณัฐกรย้ำว่า คอนเทนต์ คือหัวใจสำคัญที่ต้องคงอยู่ในงานสื่อ โดยคอนเทนต์ในนิยามของเขายังหมายรวมถึง การสั่งสมทักษะต่างๆ เช่น ทักษะการสื่อสาร ส่วน การสร้างแบรนด์ เป็นสิ่งที่เขาสนใจมานาน แต่ที่ผ่านมาไม่ได้ทำความเข้าใจเรื่องนี้อย่างจริงจัง

ตอนทำ GM Live ไม่ต่างจากการทำอาหารตามสั่งคนกินไม่จำว่าอร่อยหรือไม่อร่อยแต่พอเป็น The People เหมือนปักธงว่าจะขายเฉพาะข้าวมันไก่และต้องเอาดีให้ได้ซึ่งนอกจากการสร้างเอนเกจเมนต์ยังต้องทำให้คนรักแบรนด์ทำให้ผู้อ่านออกปากว่านี่คือการเล่าเรื่องของคนๆนี้ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยอ่านมาผมจึงต้องคุมมาตรฐานทุกอย่างตั้งแต่การวางทิศทางการเล่าเรื่องการนำเสนอเรื่องราวในเชิงลึกให้ได้มากที่สุดรวมทั้งให้ความใส่ใจในสำนวนภาษาและการสะกดคำแม้มีการวางรูปแบบเกี่ยวกับเอนเกจเมนต์และแบรนด์แล้วแต่ยังมีโครงสร้างใหญ่ที่ต้องเรียนรู้นั่นคือการไปต่อในระดับกลยุทธ์

การศึกษาต่อปริญญาโทในหลักสูตร MBA สาขาวิชาการตลาด มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในช่วงเปลี่ยนผ่านการทำงานจาก The People มา Future Trends ทำให้เข้าใจพื้นฐานในการบริหารธุรกิจมากขึ้น ซึ่งประกอบด้วย 5 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ กลยุทธ์ การตลาด การเงิน พฤติกรรมองค์กร และการจัดการการดำเนินงาน รวมถึงองค์ความรู้ในการเขียนโครงการ การคาดการณ์รายได้ ซัพพลายเชน การอ่านงบการเงิน และพื้นความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์ จนค้นพบว่าการพัฒนากลยุทธ์เป็นจุดแข็งที่สำคัญ

เมื่อตัดสินใจร่วมงานกับบริษัท ไลค์มี จำกัด (Like Me) ซึ่งเขาเคยมาเป็นอาจารย์สอนวิชา Content Marketing ให้กับ Future Skill แพลตฟอร์มการเรียนออนไลน์ที่บริษัทนี้สร้างขึ้นเพื่อพัฒนาทักษะของคนไทย จึงบอกกับ เดียร์-ธนโชติ วิสุทธิสมาน ซีอีโอบริษัทว่าขอทำงานในตำแหน่ง Head of Content and Branding

ผมเคยพูดติดตลกว่าคนทำสื่อไม่ได้ทำคอนเทนต์เพื่อหาเงินแต่ทำเพื่อเอาสังคมเอาชุมชนด้วยเช่นถ้าผมทำเพจสุขภาพก็ต้องเข้าหาชุมชุนคนกินผักและนิยมทำอาหารสุขภาพต้องป้อนคอนเทนต์เหล่านี้ให้กับผู้อ่านเพื่อสร้างเอนเกจเมนต์ให้มากจนเขาจดจำแบรนด์ได้ว่าคือเว็บเพจอาหารสุขภาพที่มีคุณภาพจากนั้นต้องก้าวต่อแบบมีกลยุทธ์ด้วยการพัฒนาแบรนด์ให้เกิดภาพลักษณ์เชิงบวกซึ่งการทำงานกับเดียร์ทำให้ได้เรียนรู้สื่อในมุมการทำธุรกิจว่าหากจะบริหารงานสื่อการคิดแค่ให้มีคนอ่านคิดแค่การสร้างแบรนด์ไม่พอต้องคิดเรื่องกลยุทธ์สื่อด้วยเพื่อให้คนพูดถึงเราในทางที่ดี

การพิสูจน์ฝีมือในเฟสแรกของการทำงานที่ใหม่ คือ การปั้นเพจ Future Trends และ aomMONEY เริ่มตั้งแต่การวางกลยุทธ์ การเล่าเรื่อง การพัฒนาศักยภาพของทีมงานตามความถนัดที่เขามี การสร้างเอนเกจเมนต์และแบรนด์ การสร้างกลุ่มสังคมและชุมชนที่ให้ความสนใจต่อแบรนด์

หากไปต่อในท่าเดิมคงทำบทความ advertorial แบบในอดีตแต่ถ้าเป็นท่าใหม่ก็ต้องจุดประกายจากร่มใหญ่คือ Future Trends โดยการพัฒนาแบรนด์ให้เติบโตพร้อมกันอย่างรวดเร็วอย่างการแตกแบรนด์เป็น Future Trends Ahead, Future Trends Ahead Summit หรือ Future Trends Awards โดยผ่านกระบวนการคิดร่วมกันระหว่างทีมบริหารไลค์มีและพัฒนาแนวคิดมาเรื่อยๆ

เขากล่าวว่า การคิดเรื่องแบรนด์ไม่ใช่การคิดเพื่อแข่งในเวทีเดียวกับคู่แข่ง แต่คิดในสิ่งที่ตัวเองถนัดและได้เปรียบในสนามแข่งขันนั้น ตัวอย่างเช่นทุกปีจะมีหนังสือต่างประเทศที่อัปเดตเทรนด์อนาคต ส่วนของไทยก็มีรายงานของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) หรือ TCDC เดิม แต่พยายามคิดว่า Future Trends จะไปให้ไกลกว่าได้อย่างไร

เราคิดกันว่าถ้าเราเก่งการเล่าเรื่องก็หาคนที่ถนัดงานวิจัยมาช่วยเรื่องข้อมูลจึงเกิดการจับมือกับ 14 องค์กรร่วมจัดทำคอนเทนต์โดยมี Future Trends เป็นแกนกลาง

คอนเทนต์ แบรนด์ และกลยุทธ์ จึงเป็นองค์ประกอบที่ควรบริหารจัดการให้กลมกลืนกัน การสะสมคอนเทนต์ให้แน่น สร้างแบรนด์ให้ติดตลาด มีกลยุทธ์การสื่อสารที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย และเลือกแพลตฟอร์มการนำเสนอที่เห็นว่าเหมาะสม

ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่คนมักไม่ค่อยพูดถึงเท่าไรแต่เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือทักษะในการเล่าเรื่องเพราะถึงเก็บครบทุกองค์ประกอบแต่ถ้าเล่าไม่เป็นเรื่องก็พังได้เหมือนกัน

เรียนรู้ทุกการเปลี่ยนแปลงอย่างรื่นรมย์

ในฐานะคนทำงานสื่อมานานถึง 17 ปี เมื่อต้องเผชิญกับกระแสดิสรัปชันที่กระทบอุตสาหกรรมสื่อและคอนเทนต์ เขาบอกว่าสิ่งที่ทำให้อยู่รอดได้คือ การปรับตัว โดยผ่านการคิดวิเคราะห์ด้วยปัญญาเพื่อเข้าใจกระแส เข้าใจปัจจัยภายนอก และเข้าใจตัวเอง ทำให้บางครั้งต้องพึ่งพาเครื่องมือพื้นฐานอย่าง SWOT analysis

ถ้าเห็นลมแห่งการเปลี่ยนแปลงที่รู้สึกว่าเป็นภัยคุกคามหรือมองไม่เห็นโอกาสอย่างน้อยขอให้เรียนรู้และรื่นรมย์กับความเปลี่ยนแปลงนั้นถ้ามั่นใจว่างานของเราเข้าไปนั่งอยู่ในใจของผู้คนอยู่ในระดับดีเกินค่ามาตรฐานถึงอย่างไรก็อยู่ได้เพียงแต่ต้องหมั่นทบทวนตัวเองและค้นหาจุดที่เหมาะสมให้เจอ

ณัฐกรยกตัวอย่างปรากฏการณ์ Dunning-Kruger Effect จากหนังสือ Think Again ของ Adam Grant ซึ่งเป็นที่มาของการเกิด หุบเขาแห่งความไม่รู้ เมื่อความรู้ของเราขึ้นสู่จุดสูงสุดจนคิดว่า เราเก่งและรู้ดีที่สุดกว่าใคร จนกระทั่งถึงวันที่เริ่มตระหนักว่ายังมีสิ่งที่เราไม่รู้และเริ่มไม่มั่นใจในตัวเอง เราจะตกลงสู่หุบเหวแห่งความไม่รู้ เพื่อเริ่มต้นเรียนรู้ใหม่และพุ่งทะยานขึ้นอีกครั้ง

ด้วยเหตุนี้ การเรียนรู้ตลอดชีวิตจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพียงแต่วิถีการเรียนรู้ในปัจจุบันแคบและเร็วกว่าเดิม การเปลี่ยนผ่านจากสื่อกระดาษมาเป็นสื่อออนไลน์ จาก AI มาเป็น Edge AI, AI Singularity ที่ฉลาดทันมนุษย์ บีบให้การพัฒนาทักษะความเชี่ยวชาญต้องเร็วขึ้น การเรียนรู้ตลอดชีวิตจึงมีไว้เพื่อรับมือสิ่งเหล่านี้ รวมถึงการมีสติ ไม่ตามกระแส ต้องทำความเข้าใจและรื่นรมย์ไปกับกระแสการเปลี่ยนแปลง

ตอนนี้ผมอายุ 40 ปีคิดว่าตัวเองอยู่ในวัยที่เริ่มสงสัยในความสามารถของตัวเอง (Self-doubt) เพราะผมมักทำสิ่งต่างๆได้ดีเวลาที่รู้สึกดำดิ่งกับเรื่องใดมากๆผมคิดว่าตัวเองเก่งตอนเริ่มทำงานใหม่ๆแต่พอทำคอนเทนต์ไปเรื่อยๆโดยไม่มีแบรนด์สุดท้ายต้องกลับไปเริ่มต้นเรียนรู้ใหม่วัฏจักรชีวิตผมเป็นแบบนั้นมีเรื่องต้องเรียนรู้ตลอดเวลาสนุกกับมันสุดท้ายเราจะไปต่อได้

เขามีความคิดว่า การทำงานแม้เป็นการหารายได้เพื่อเลี้ยงชีพ แต่จุดมุ่งหมายในชีวิตก็ต้องมี อาจจะแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงชีวิต เช่น ชีวิตของตัวเองในช่วงเริ่มต้นที่อยากเป็นสื่อ พอเข้าช่วงที่สองของชีวิต อยากเข้าใจเรื่องเอนเกจเมนต์ เรื่องการสร้างแบรนด์ จนถึงปัจจุบันที่เริ่มมองเห็นกระแสอนาคต ซึ่งกำลังปรับเปลี่ยนสู่ยุคที่ผู้คนเริ่มตระหนักถึงจุดมุ่งหมายของชีวิต และให้ความสำคัญกับการรักษาสมดุลระหว่าง การทำงานที่เลี้ยงชีพได้กับการส่งต่อสิ่งที่เป็นประโยชน์กับผู้คนและสังคม มากขึ้น

รากฐานชีวิตของผมยังเป็นคนรักการเรียนรู้อยู่เหมือนเดิมแต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นคือวุฒิภาวะและการมองโลกจากความเป็นจริงมากขึ้นต่างจากเมื่อก่อนที่มองบางเรื่องด้วยอารมณ์อยากให้ทุกอย่างเป็นอย่างที่ใจต้องการแต่ในความเป็นจริงเราไปกะเกณฑ์อย่างนั้นไม่ได้นอกจากเรียนรู้และโตไปกับมันทุกๆปีผมจึงมีคำถาม 2 คำถามให้ตัวเองได้คิดไตร่ตรองอยู่เสมอว่าผมยังสนุกกับงานนั้นไหม? และงานนั้นมีความหมายต่อตนเองและผู้คนรอบข้างหรือไม่?”

ณัฐกร เวียงอินทร์

เดินหน้าเพื่อบรรลุความมุ่งหมายไปอีกก้าว

บริษัท ไลค์มี จำกัด ซึ่งเติบโตจากสตาร์ตอัพที่เริ่มต้นบุกเบิกการทำอินโฟกราฟิกภายใต้แบรนด์ Infographic Thailand และทำเว็บไซต์ให้ความรู้ด้านการเงินในชื่อ aomMONEY ผ่านเวลากว่า 10 ปีกลายเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีบริษัทในเครือเกี่ยวข้องกับ content agency, e-Learning, online education และ tech startup แบรนด์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก อาทิ Infographic Thailand, aomMONEY, Future Trends และ FutureSkill

หน้าที่หลักของผมคือการสร้างแบรนด์ Future Trends และ aomMoney ให้เป็นที่รับรู้และจดจำของบุคคลภายนอกผ่านการทำแคมเปญและอีเวนต์ต่างๆรวมถึงการสร้างวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ให้เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กรเช่นการสนับสนุนงบประมาณจัดซื้อหนังสือที่เป็นประโยชน์การส่งทีมงานเข้ารับการอบรมในหลักสูตร FutureSkill หลักสูตร Next MBA หรือ Key Takeaways”

ณัฐกรกล่าวว่า Future Trends ระยะหลังจะเน้นเรื่อง Key Takeaways เพื่อทำให้น้องๆ ในทีมรู้จักคนมากขึ้น และพี่ๆ ได้รู้จักน้องมากขึ้น การชวนสนทนาและร่วมหามุมมองต่อปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น การมุ่งพัฒนาทีมโดยให้ทุกคนตอบว่าพวกเขาอยากเห็นตัวเองเป็นอย่างไรใน 3 เดือน หรือใน 1 ปี ข้างหน้า และสนับสนุนพวกเขาไปให้ถึงจุดที่ต้องการ 

องค์กรนี้เป็นองค์กรวัยรุ่นมากแม้ฐานอายุพนักงานจะเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบันแต่ยังอยู่ในกลุ่มเจน Y ตอนปลายและเจน Z ผมต้องเรียนรู้มากขึ้นในการสื่อสารกับพวกเขาโชคดีดีว่ายังมีจุดเชื่อมโยงในเรื่องของภาพยนตร์เพลงหนังสือแต่ต้องคอยอัปเดตตัวเองอยู่เสมอเพื่อให้ทันน้องๆรุ่นใหม่

เมื่อถามถึงแพสชันโดยส่วนตัว ณัฐกรอยากมีโอกาสเลือกทำสิ่งที่มีความหมาย สามารถสร้างแรงกระเพื่อมกับสังคมได้จริงและมากขึ้นกว่านี้ ภายใต้กรอบของบริษัท 

ผมชอบคำสัมภาษณ์ของผู้จัดการทีมฟุตบอลซึ่งมักตอบว่าต่อให้ทำสำเร็จแต่ยังคงมีงานต้องทำอีกมากสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นจึงเป็นการเดินเพื่อบรรลุความมุ่งหมายไปอีกหนึ่งก้าวสุขกับความสำเร็จได้เพียงชั่วครู่แล้วต้องกลับมาตั้งหลักใหม่ว่าจะเดินอย่างไรต่อและจะเป็นเช่นนี้เรื่อยไปเหมือนที่เราไม่หยุดคิดว่า Future Trends จะเดินไปข้างหน้าอย่างไรในปีต่อๆไป

บทสัมภาษณ์อื่น ๆ ที่น่าสนใจ

“เมื่อคน (ไม่) กินผัก อยากปลูกผัก” ออร์แกนิกแท้แบบ Wenzel ของ กัญภัส ศรีณรงค์ ชยานุวัฒน์

ถอดสูตรการลงทุนสไตล์ SeaX Ventures กับ “ศุภชัย ปาจริยานนท์”

“ดร.พัทน์ ภัทรนุธาพร” Postdoc จาก MIT กับสมการ “โดราเอมอน=AI+จิตวิทยา”


×

Share

ผู้เขียน