ในยุคที่การลงทุนปลายนิ้วกลายเป็นเรื่องปกติ ภัยเงียบจากมิจฉาชีพออนไลน์ก็ทวีความรุนแรงและซับซ้อนขึ้นเป็นเงาตามตัว โดยเฉพาะ “การหลอกลงทุน” ที่สร้างมูลค่าความเสียหายสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ เพื่อรู้ทันก่อนตกเป็นเหยื่อในเกมกลโกงทางการเงิน เวทีเสวนา “คนไทยรู้ทัน ปีที่ 2” ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญจาก 5 หน่วยงานสำคัญ ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT), สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) โครงการโคแฟค (Cofact) และ TikTok มาเปิดไพ่กลลวงและแนะแนวทางป้องกันอย่างเจาะลึก
บัญชีม้า: จุดเริ่มต้นสู่หายนะทางการเงิน
อุบลรัตน์ จันทรังษ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายกลยุทธ์สื่อสารและความสัมพันธ์องค์กร ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) กล่าวว่า รากฐานสำคัญและเป็นเสมือน “เส้นเลือดใหญ่” ขององค์กรอาชญากรรมไซเบอร์ คือ “บัญชีม้า” ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่เปิดทางให้เงินของผู้เสียหายถูกโยกย้ายถ่ายโอนจนยากจะติดตาม พร้อมย้ำถึงผลกระทบที่รุนแรงและสามารถทำลายอนาคตทางการเงินของคนคนหนึ่งได้อย่างสิ้นเชิง
มิจฉาชีพมักใช้กลวิธีหลอกล่อผู้ที่เดือดร้อนทางการเงินหรือผู้ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ด้วยการเสนอเงินค่าจ้างเพียงเล็กน้อย แลกกับการเปิดบัญชีธนาคารหรือลงทะเบียนซิมการ์ดโทรศัพท์ให้ ซึ่งดูผิวเผินเหมือนเป็นเรื่องง่าย ๆ ที่ไม่มีอะไรเสียหาย แต่ในความเป็นจริงแล้ว บัญชีเหล่านั้นคือ เกราะกำบังชั้นดีที่คนร้ายใช้เพื่อซ่อนตัวตนและสร้างความซับซ้อนให้กับเส้นทางการเงิน ทำให้การสืบสวนของเจ้าหน้าที่เป็นไปได้ยากขึ้น
“การรับจ้างเปิดบัญชีม้าไม่ใช่แค่เรื่องของการได้เงินเล็กน้อยแล้วจบไป มันคือการเอาชื่อและอนาคตของตัวเองไปผูกไว้กับคดีอาชญากรรมร้ายแรง ปัจจุบันเรามีมาตรการจัดการที่เข้มข้น หากชื่อของคุณถูกตรวจพบว่าเป็นบัญชีม้า ไม่ใช่แค่บัญชีนั้นบัญชีเดียวที่จะถูกอายัด แต่หมายเลขบัตรประชาชนของคุณจะถูกขึ้นบัญชีดำ ทำให้บัญชีธนาคารทุกแห่ง ทุกธนาคารที่คุณมีจะถูกระงับไปด้วยทันที”
ผลกระทบที่ตามมานั้นเปรียบเสมือน “ตราบาปทางการเงิน” ที่จะติดตัวไปอีกนาน การใช้ชีวิตในสังคมที่ขับเคลื่อนด้วยระบบดิจิทัลจะกลายเป็นเรื่องยากลำบากในทันที ไม่สามารถรับเงินเดือนผ่านบัญชีธนาคาร ไม่สามารถทำธุรกรรมการเงินออนไลน์ ไม่สามารถขอสินเชื่อเพื่อซื้อบ้านหรือรถยนต์ และที่สำคัญคือ ไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการต่าง ๆ จากภาครัฐได้อีกต่อไป
การตัดสินใจที่ผิดพลาดเพียงครั้งเดียวจากการเห็นแก่เงินเพียงไม่กี่ร้อยบาท อาจหมายถึงการสูญเสียอิสรภาพทางการเงินไปอย่างสิ้นเชิง นอกเหนือจากโทษตามกฎหมายที่หนักหน่วง ทั้งจำคุกสูงสุด 3 ปี หรือปรับสูงสุด 300,000 บาท และการต้องตกเป็นผู้ต้องหาในคดีฉ้อโกงหรือฟอกเงินโดยไม่รู้ตัว
“คนมีเงิน” เป้าหมายหลัก–แนะวิธีเช็กก่อนลงทุน

อาชินี ปัทมะสุคนธ์ ผู้ช่วยเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) กล่าวว่า การหลอกลงทุนคืออาชญากรรมไซเบอร์ที่สร้างมูลค่าความเสียหายสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งของประเทศในปัจจุบัน โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักคือกลุ่มคนมีเงิน โดยเฉพาะผู้ที่ใกล้เกษียณหรือเกษียณอายุแล้ว ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีเงินออมที่เก็บสะสมมาตลอดทั้งชีวิต และกำลังมองหาช่องทางการลงทุนเพื่อสร้างความมั่นคงในบั้นปลาย
มิจฉาชีพมักจะเข้าหาเหยื่อด้วยกลยุทธ์ทางจิตวิทยาที่แยบยล โดยจะสร้างโปรไฟล์ปลอมบนโลกออนไลน์ให้ดูน่าเชื่อถือเป็นนักลงทุนผู้เชี่ยวชาญ หรือเข้ามาสร้างความสัมพันธ์จนเหยื่อไว้วางใจ จากนั้นจะเริ่มชักชวนลงทุนโดยใช้เหยื่อล่อที่น่าดึงดูด เช่น การันตีผลตอบแทนที่สูงเกินจริงในระยะเวลาอันสั้น การสร้างแรงกดดันให้รีบตัดสินใจลงทุนโดยอ้างว่าเป็นโอกาสพิเศษที่มีจำกัด หรือการแสดงผลกำไรปลอม ๆ ของนักลงทุนคนอื่นเพื่อกระตุ้นความรู้สึกกลัวที่จะตกขบวน (FOMO)
เพื่อสร้างเกราะป้องกันเงินออมทั้งชีวิตของคุณจากกลลวงเหล่านี้ ก.ล.ต. ได้แนะขั้นตอนการตรวจสอบที่เข้มข้นและจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเริ่มจากการนำชื่อบุคคลหรือบริษัทที่มาชักชวนไปตรวจสอบในแอปพลิเคชัน “SEC Check First” เพื่อยืนยันว่าได้รับใบอนุญาตอย่างถูกต้องหรือไม่
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงด่านแรกเท่านั้น เพราะมิจฉาชีพในปัจจุบันมีความซับซ้อนถึงขั้นสวมรอย โดยการแอบอ้างชื่อและเลขใบอนุญาตของผู้แนะนำการลงทุนตัวจริง ดังนั้นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดที่ห้ามละเลยคือการดับเบิลเช็กด้วยการโทรศัพท์ไปตรวจสอบกับบริษัทต้นสังกัดของผู้แนะนำการลงทุนคนนั้น ๆ โดยตรงผ่านเบอร์โทรศัพท์ที่ระบุไว้ในฐานข้อมูลของ SEC Check First เท่านั้น เพื่อให้แน่ใจว่าบุคคลที่คุณกำลังสนทนาด้วยคือผู้แนะนำการลงทุนตัวจริง หากยังมีความคลุมเครือหรือไม่สบายใจแม้แต่น้อย ให้ยุติการสนทนาทันทีและโทรปรึกษาได้ที่สายด่วน ก.ล.ต. 1207 กด 22
เบื้องหลังแก๊งคอลเซ็นเตอร์: องค์กรอาชญากรรมไซเบอร์ข้ามชาติ
ในมุมมองของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ร้อยตำรวจเอกเขมชาติ ประกายหงษ์มณี ผู้อำนวยการกองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กล่าวว่า ภัยคุกคามเหล่านี้ไม่ใช่การกระทำของมิจฉาชีพรายย่อยแต่เป็นปฏิบัติการขององค์กรอาชญากรรมไซเบอร์ที่มีโครงสร้างซับซ้อนและดำเนินงานอย่างไร้พรมแดน
“ภาพของคนร้ายที่ต้องมานั่งประชุมกันในห้องลับ ๆ ได้หมดสมัยไปแล้ว ปัจจุบัน พวกเขาสามารถรวมตัวกันจากทั่วทุกมุมโลกผ่านโลกออนไลน์ โดยไม่จำเป็นต้องรู้จักหรือเห็นหน้ากันมาก่อน พวกเขาทำงานกันเป็นทีมเสมือนบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ มีการแบ่งงานกันทำอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ฝ่ายจัดหาบัญชีม้า ฝ่ายสร้างเรื่องราวและติดต่อหลอกลวงเหยื่อ, ฝ่ายเทคนิคที่สร้างเว็บไซต์ปลอมหรือใช้ AI ตัดต่อภาพและเสียง ไปจนถึงฝ่ายฟอกเงินที่โยกย้ายเงินผ่านหลายชั้นเพื่อทำลายหลักฐาน”
การที่องค์กรเหล่านี้ปฏิบัติการข้ามชาติเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ทำให้การจับกุมเป็นไปได้ยาก เนื่องจากความแตกต่างทางกฎหมายในแต่ละประเทศ กลยุทธ์ของพวกเขาตั้งอยู่บน “สามเหลี่ยมอาชญากรรม” ซึ่งประกอบด้วย
- ความเปราะบางของเหยื่อ: มิจฉาชีพไม่ได้โจมตีแค่คนที่ไม่รู้เทคโนโลยี แต่ยังใช้จิตวิทยาขั้นสูงในการโจมตีจุดอ่อนทางอารมณ์ของมนุษย์ ทั้งความโลภ (ผลตอบแทนสูง) ความกลัว (แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ) และความรัก (หลอกให้รักแล้วชวนลงทุน)
- เครื่องมือที่ทรงพลัง: พวกเขาใช้เทคโนโลยีล่าสุดเป็นอาวุธ ตั้งแต่การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาเหยื่อที่มีศักยภาพ ไปจนถึงการใช้ AI Deepfake เพื่อปลอมแปลงเสียงและวิดีโอคอล ทำให้การหลอกลวงแนบเนียนจนแทบแยกไม่ออก
- ขีดความสามารถของอาชญากร: องค์กรเหล่านี้มีการเรียนรู้และปรับตัวเร็วมาก เมื่อกลโกงรูปแบบหนึ่งถูกเปิดโปง พวกเขาก็พร้อมจะเปลี่ยนไปใช้รูปแบบใหม่ทันที
ด้วยความซับซ้อนนี้ DSI จึงเน้นย้ำว่าการต่อสู้กับภัยคุกคามไซเบอร์ยุคใหม่จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือที่แข็งแกร่งจากทุกภาคส่วน เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและพัฒนายุทธศาสตร์ให้เท่าทันเหล่าอาชญากรที่พัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา
คาถาป้องกันตัว: “อย่าเพิ่งเชื่ออย่าเพิ่งแชร์อย่าเพิ่งโอน“
ท่ามกลางสมรภูมิข้อมูลและกลโกงที่ซับซ้อน สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโครงการ CoFact ได้มอบอาวุธที่สำคัญที่สุดให้กับประชาชน นั่นคือ “สติ” ซึ่งถูกย่อยออกมาเป็นคาถาป้องกันตัวว่า “อย่าเพิ่งเชื่อ อย่าเพิ่งแชร์ อย่าเพิ่งโอน”
Cofact ซึ่งก่อตั้งขึ้นในช่วงที่สังคมกำลังเผชิญกับวิกฤติข่าวปลอมจากการระบาดของโควิด-19 ทำหน้าที่เป็นเครือข่ายภาคประชาสังคมที่เปรียบเสมือน “เบรกทางความคิด” ให้กับผู้คนในยุคดิจิทัล
“มีหลายกรณีที่ผู้เสียหายติดต่อมาหาเราหลังจากสูญเงินไปแล้วหลักแสนหลักล้าน ซึ่งมันสายเกินไปแล้ว หัวใจสำคัญของคาถานี้คือการสร้าง ‘ช่องว่าง’ ระหว่าง ‘สิ่งเร้า’ กับ ‘การตัดสินใจ’ ของเรา”
หลักการทำงานของคาถานี้คือ
- อย่าเพิ่งเชื่อ: เมื่อได้รับข้อมูลที่ดูดีเกินจริง เร่งเร้าให้เกิดความกลัว หรือกระตุ้นความโลภอย่างรุนแรง ให้ตั้งคำถามกับมันก่อนเป็นอันดับแรก ข้อมูลนี้มาจากไหน? แหล่งข่าวเชื่อถือได้หรือไม่? มันสมเหตุสมผลจริงหรือ?
- อย่าเพิ่งแชร์: การแชร์ข้อมูลที่ยังไม่ได้ตรวจสอบ ไม่เพียงแต่จะสร้างความตื่นตระหนกในสังคม แต่ยังอาจทำให้เรากลายเป็นส่วนหนึ่งของวงจรการหลอกลวงโดยไม่รู้ตัว และอาจสร้างความเสียหายให้คนใกล้ชิดของเราได้
- อย่าเพิ่งโอน: นี่คือปราการด่านสุดท้ายและสำคัญที่สุด ไม่ว่าเรื่องราวจะกดดันหรือน่าเห็นใจเพียงใด หากมีการร้องขอให้โอนเงิน ให้หยุดคิดทันที เพราะเมื่อเงินออกจากบัญชีไปแล้ว โอกาสที่จะได้คืนนั้นแทบจะเป็นศูนย์
“หน้าที่ของเราคือการป้องกันก่อนเกิดเหตุ มีอะไรน่าสงสัย ไม่ว่าจะเป็นลิงก์แปลก ๆ ข้อความชวนลงทุน หรือข่าวสารที่ไม่แน่ใจ ให้ส่งมาให้เราช่วยตรวจสอบก่อน ช้าลงนิด แต่ปลอดภัยแน่นอน”
บริการของ Cofact จึงเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันทางปัญญา ช่วยให้ประชาชนสามารถรับมือกับข้อมูลข่าวสารได้อย่างเท่าทันและปลอดภัย
TikTok กับบทบาทเฝ้าระวังและสร้างเกราะป้องกัน

ในฐานะแพลตฟอร์มที่มีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของผู้คน อิทธิกร ไตรทศาวิทย์ Public Policy Manager for TikTok Thailand, Cambodia, Laos, and Myanmar ได้เปิดเผยถึงกลไกหลังบ้านที่ทำงานอย่างเข้มข้นเพื่อต่อสู้กับคอนเทนต์หลอกลวง โดยมี “หลักเกณฑ์ชุมชน” (Community Guidelines) เป็นธรรมนูญสูงสุดในการกำกับดูแลเนื้อหาทุกชิ้นบนแพลตฟอร์ม
TikTok ใช้ระบบการป้องกันหลายชั้นเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย โดยแบ่งเป็น
เกราะป้องกันเชิงรุกด้วยเทคโนโลยี: การป้องกันส่วนใหญ่เกิดขึ้นก่อนที่ผู้ใช้จะเห็นเนื้อหาที่เป็นอันตรายด้วยซ้ำ 99.5% ของวิดีโอที่ผิดหลักเกณฑ์ชุมชนถูกเรานำลงก่อนที่ผู้ใช้จะทันได้เห็น
“เฉพาะไตรมาสแรกของปีนี้ เรานำวิดีโอที่ละเมิดนโยบายในไทยออกไปแล้วกว่า 3.5 ล้านรายการ”
ตัวเลขนี้สะท้อนประสิทธิภาพของระบบ AI ที่สแกนวิดีโอที่ถูกอัปโหลดหลายล้านชิ้นต่อวันเพื่อตรวจจับเนื้อหาที่เข้าข่ายการหลอกลวง คำพูดแสดงความเกลียดชัง หรือการละเมิดอื่น ๆ
การตรวจสอบโดยทีมผู้เชี่ยวชาญ: TikTok ตระหนักดีว่าเทคโนโลยีไม่สามารถเข้าใจบริบทที่ซับซ้อนทางวัฒนธรรมได้ทั้งหมด จึงมีทีมผู้เชี่ยวชาญที่เป็นมนุษย์ ซึ่งรวมถึงทีมงานคนไทยที่มีความเข้าใจในภาษาและวัฒนธรรมท้องถิ่น คอยตรวจสอบเนื้อหาที่ระบบ AI flagging ขึ้นมา หรือกรณีที่ต้องใช้การพิจารณาเชิงลึก เพื่อให้การตัดสินใจมีความแม่นยำและเป็นธรรมที่สุด
พลังของชุมชนในฐานะ “ตาวิเศษ”: เกราะป้องกันชั้นที่สามที่สำคัญที่สุดคือผู้ใช้ทุกคน ผู้ใช้สามารถทำหน้าที่เหมือนโครงการ “ตาวิเศษ” ในอดีตได้ เพียงกดปุ่ม “รายงาน” (Report) เมื่อพบเห็นเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม การรายงานจากผู้ใช้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ทีมงานลบเนื้อหาที่เป็นอันตรายได้เร็วขึ้น แต่ยังเป็นข้อมูลสำคัญในการฝึกฝนระบบ AI ให้ฉลาดและเท่าทันกลโกงรูปแบบใหม่ ๆ อยู่เสมอ
นอกจากการกำกับดูแลแล้ว TikTok ยังมุ่งเน้นการให้ความรู้ผ่านโครงการ #คนไทยรู้ทัน โดยใช้จุดแข็งของแพลตฟอร์มในการย่อยข้อมูลที่ซับซ้อนจากหน่วยงานพันธมิตรให้กลายเป็นวิดีโอสั้นที่เข้าใจง่ายและน่าสนใจ ผ่านคอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้ความรู้ในการป้องกันตัวกระจายไปถึงผู้คนในวงกว้างอย่างมีประสิทธิภาพ
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
TikTok สานต่อ ‘คนไทยรู้ทันปี 2’ ผนึก 12 พันธมิตรยกระดับสู้ภัยไซเบอร์
SIAM1928 เปิดตัวน้ำหอมคอลเลคชันใหม่ ‘จตุมหาราชิกา’ ปรุงกลิ่นไทยขจรไกลทั่วโลก