เมื่อโลกปัจจุบันกำลังเดินหน้าเข้าสู่ยุคสังคมสูงวัย การเผชิญกับโรคภัยไข้เจ็บหรือโรคระบาดที่รุนแรงโดยไม่คาดคิด ทำให้ธุรกิจหลังความตายเติบโตมากขึ้นในรอบหลายปีที่ผ่านมา
เส้นทางธุรกิจของ กิ๊ฟ – แคทลียา ท้วมประถม กรรมการผู้จัดการบริษัท The Idea Essential ที่ปูทางจากแผงขายของเล็กๆ ของคุณย่าบนถนนพาหุรัด ขยับขยายมาเป็นการซื้ออาคารพาณิชย์หลายคูหาเพื่อประกอบธุรกิจผ้าม่านของคุณพ่อ ธุรกิจของชำร่วยและการ์ดแต่งงานของคุณแม่ ในชื่อร้าน “ของชำร่วยพรมงคล” ตกทอดมาถึงเธอและน้องสาว (วิริยา) ทายาทรุ่นที่ 3 ซึ่งได้พลิกมุมคิดต่อยอดธุรกิจจากงานแต่งงานสู่งานศพ ที่ตอบโจทย์ชีวิตยุคออนไลน์มากขึ้นด้วยแพลตฟอร์มดิจิทัล “อาลัย Link” พร้อมทั้งขยายธุรกิจครบทั้งตลาด Love-Leave-Living-Lifestyles บนแนวคิดของการส่งต่อความสวยงามให้ดำรงอยู่ในทุกช่วงชีวิต
ต่อยอดธุรกิจการ์ดแต่งงานและของชำร่วย
หลังเรียนจบปริญญาตรีด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี หลักสูตรเอ็มบีเอ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เธอเริ่มต้นทำงานด้านการขายที่บริษัท ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย เป็นเวลา 2 ปี ระหว่างทำงานได้รับทุนฟุลไบรต์ไปศึกษาต่อหลักสูตรผู้ประกอบการ (entrepreneurship) ที่ Babson College เมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา เป็นเวลา 1 ปี เพราะมีมุ่งมั่นอยากสร้างธุรกิจเป็นของตัวเอง
“20 ปีที่แล้วทุกคนจะถูกสอนให้ทำงานเสมือนเป็นฟันเฟืองหนึ่งในธุรกิจไม่มีใครสอนว่าถ้าอยากเป็นผู้ประกอบการแต่ไม่มีทุนไม่มีทีมต้องทำอย่างไรเมื่อได้ไปเรียนอย่างจริงจังก็พบว่าการทำธุรกิจของตัวเองนั้นยากกว่า 2 เท่าใช้เวลามากกว่าที่คิดถึง 3 เท่า”
เรียนจบกลับมาปี 2546 ขอกิจการที่เล็กที่สุดของพ่อมาดำเนินการ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของร้านการ์ดแต่งงานและของชำร่วยชื่อ “วิริยา (Viriya)” กิจการแรกในชีวิต เปิดตัวเดือนสิงหาคม 2546 เป็นช่วงเวลาที่ธุรกิจงานแต่งงานเฟื่องฟู การค้าดำเนินไปได้ด้วยดีจนสามารถขยายร้านออกไปเป็น 4-5 คูหา พร้อมไปกับการเขียนคอลัมน์เกี่ยวกับผู้ประกอบการลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายสัปดาห์ต่อเนื่องราว 7-8 ปี เขียนหนังสือด้านธุรกิจรวม 2 เล่ม ทำงานสอนหนังสือ และเป็นวิทยากรเรื่องการจัดการธุรกิจของตัวเอง เนื่องจากเห็นว่าองค์ความรู้เกี่ยวกับผู้ประกอบการหรือการเป็นเจ้าของธุรกิจในไทยยังมีไม่มาก
“ตัวเรามีเลือดแม่ค้าเพราะถูกหล่อหลอมมาโดยครอบครัวพ่อแม่จะสอนเราในฐานะทายาทรุ่น 3 ด้วยประโยคเช่นขายของราคานี้เมื่อไรจะรวยเราเข้าใจได้ทันทีเพราะรู้ทั้งราคาขายและราคาส่งได้เห็นเทคนิคการเจรจาต่อรองกับซัพพลายเออร์ของแม่พ่อที่สามารถสั่งของจากซัพพลายเออร์มาที่ร้านได้โดยไม่ต้องเซ็นใบรับของเพราะเชื่อใจกันคำว่า trust จึงเป็นสิ่งสำคัญในการทำธุรกิจและพวกเขาเอ็นดูเราโดยแทบไม่ต้องทำอะไรเมื่อรู้ว่าเป็นลูกของพ่อและแม่”
แม้จะเป็นทายาทธุรกิจ แต่เธอโชคดีที่พ่อแม่ให้โอกาสในการพิสูจน์ตัวเองโดยไม่เข้ามากำกับตามความคิดแบบคนรุ่นก่อน จึงยิ่งต้องทำในสิ่งที่เชื่อให้เห็นเป็นผลสำเร็จ เธอยกตัวอย่างว่าคุณพ่อไม่เห็นด้วยกับการใช้โซเชียลมีเดียในการดำเนินธุรกิจ แต่เธอแอบทำให้ธุรกิจของคุณแม่ ทั้งทำเว็บไซต์ ลงโฆษณาร้านค้าบน LINE Ads จนคุณพ่อมาทราบภายหลังว่าลูกค้ามาจากช่องทางออนไลน์มากขึ้น สุดท้ายให้เงินลงทุนไปพัฒนาช่องทางการขายผ่านโซเชียลมีเดียเพิ่มเติม
“กิ๊ฟจะบอกน้องทุกๆคนที่รับช่วงธุรกิจของพ่อแม่ว่าเราต้องทำให้พวกท่านเห็นว่าเราหารายได้ได้เท่าไรพ่อแม่จึงไว้ใจและเอาสิ่งเล็กๆที่พ่อแม่ทำไว้บวกกับความเก่งที่ตัวเองมีทำให้เกิดเป็นสิ่งใหม่สร้างสมดุลระหว่างสิ่งที่ตัวเองเชื่อกับการรับฟังพ่อแม่เพื่อให้เราสามารถต่อยอดธุรกิจครอบครัวให้ก้าวหน้าต่อไปได้โดยยังคงแพสชันและมีความสนุกที่จะทำ”
ผุดไอเดีย “อาลัย Link” บริการหลังความตาย
เดิมงานแต่งงานนิยมพิมพ์การ์ดจำนวนมากตั้งแต่ 300-500 ใบ หรือบางรายมากถึง 1,000 ใบ เพราะเป็นพิธีการที่แสดงถึงศักยภาพของคู่สมรสและครอบครัวทั้งสองฝ่าย แต่ยุคสมัยเปลี่ยนคนรุ่นใหม่หันมานิยมการเชิญแขกผ่านทางอีเมล์หรือแอปพลิเคชัน เช่น LINE หรือบางคนเลือกที่จะอยู่ด้วยกันโดยไม่จัดงานแต่งงาน ทำให้ธุรกิจพิมพ์การ์ดงานแต่งตกอยู่ในสภาพขาลง ราวปี 2563-2564 เธอจึงปรับตัวหันไปจับธุรกิจงานศพซึ่งอยู่ในช่วงขาขึ้นเพิ่มเติม
“ถือเป็นการพัฒนาธุรกิจไปตามยุคสมัยอย่างของชำร่วยหนึ่งชิ้นเมื่อผูกริบบิ้นสีชมพูกลายเป็นของชำร่วยงานแต่งพอผูกริบบิ้นสีดำเป็นของชำร่วยงานศพบรรจุหีบห่อสวยงามยกระดับเป็นสินค้าพรีเมียมหรือขายปลีกในห้างสรรพสินค้าทำให้ขายง่ายขี้นกว่าเดิมมาก”
เธออธิบายว่าธรรมชาติของงานศพมีเวลาให้จัดเตรียมงานน้อย แต่เป็นงานที่ต้องทำให้ออกมาดูดีและสง่างามที่สุดสำหรับคนที่รักเป็นครั้งสุดท้าย “ความสวยงาม” จึงเป็นแนวคิดที่ใส่ลงไปทั้งในการจัดงานและของชำร่วย
“หน้าที่ของเราคือทำของที่สวยน่ารักและส่งมอบพลังงานดีๆสำหรับงานแต่งงานที่เต็มไปด้วยความสุขและชูใจคนในช่วงเวลาที่เศร้าหมองจากความสูญเสียอยากให้ความสวยงามเป็นบรรทัดฐานของโลกที่ทุกคนควรได้เห็นได้รับและมีความสุขกับมัน”
ต่อมาเมื่อเธอเห็นความเปลี่ยนแปลงค่อยๆ เกิดขึ้น จากที่เคยนิยมแจ้งข่าวการจัดงานศพผ่านเฟซบุ๊ก ซึ่งจะมีคนมาแสดงความไว้อาลัยในพื้นที่แสดงความคิดเห็น แต่คนรุ่นปัจจุบันเปลี่ยนไปนิยมการใช้อินสตาแกรม หรือติ๊กต็อกในการสื่อสารมากกว่าเฟซบุ๊ก ทำให้การรับรู้ไม่ทั่วถึง และคาดว่าในอนาคตคนจะส่งพวงหรีดแสดงความไว้อาลัย แต่ไปร่วมงานน้อยลง จึงเกิดความคิดพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่รวบรวมทุกองค์ประกอบของงานศพไว้ครบครัน ภายใต้บริการชื่อ “อาลัย Link”
วัตถุประสงค์ประการแรกเพื่ออำนวยความสะดวกในการแจ้งการจัดงานศพอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น มีการออกแบบการ์ดงานศพแบบอิเล็กทรอนิกส์สำหรับแจ้งข่าวและเชิญร่วมงาน ที่สามารถส่งต่อหรือแชร์ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว โดยสามารถใส่รายละเอียดงานพิธี กำหนดการ สถานที่จัดงานที่เชื่อมต่อไปยัง Google Maps เพื่อแสดงแผนที่เดินทาง การเพิ่มเติม Link หรือ QR Code สำหรับการร่วมทำบุญโดยการบริจาคเงินกับสมาคม มูลนิธิต่างๆ ที่ผู้ตาย ผู้จัดงาน หรือญาติให้การสนับสนุน
ประการที่สอง เพื่อเป็นพื้นที่แสดงความอาลัย มีการนำเสนอประวัติผู้ตาย การรวบรวมความรู้สึกต่างๆ ของญาติมิตรที่มีต่อผู้ตาย ผ่านถ้อยคำ ภาพถ่าย คลิปวิดีโอ การแสดงความปรารถนาดีและให้กำลังใจต่อครอบครัวผู้สูญเสีย กระทั่งการโพสต์ภาพพวงหรีดหรือบรรยากาศภายในงาน
“อาลัย Link เป็นเสมือนดิจิทัลฟุตพรินต์ของผู้ตายที่จะอยู่ในความทรงจำตลอดไปเพราะหากวันหนึ่งแพลตฟอร์มออนไลน์สาธารณะเกิดหายไปเราจะไปตามหาได้จากที่ไหนหรือบางคนเสียชีวิตไปไม่นานคนก็ลืมแล้วจึงตั้งใจพัฒนาให้เป็นชิ้นงานที่ได้ทั้งเงินทั้งกล่องเพราะตรงเทรนด์ตรงกับธุรกิจที่ทำและเป็นประโยชน์กับคนหมู่มาก”
ส่วนแผนในอนาคต มีการพูดคุยกับทีมพัฒนาแอปพลิเคชันในการออกแบบฟังก์ชันใช้งานเพิ่มเติมตามคอนเซ็ปต์ “Peaceful Death” ให้ทุกคนได้เขียนคำไว้อาลัยและบอกกล่าวล่วงหน้าว่า อยากจัดงานศพแบบไหน ที่ไหน ด้วยเชื่อว่าคนในสังคมยุคนี้ต้องการ เพื่อให้เป็นภาระให้น้อยที่สุดสำหรับผู้ที่อยู่ข้างหลัง และน่าจะมีคนใช้งานมากขึ้นจนสเกลธุรกิจออกไปได้อีก เพราะงานศพน่าจะเพิ่มมากขึ้นกว่างานแต่งงาน
“อยากให้แนวคิด Peaceful Death เป็นเสมือนคำอำลาสุดท้ายที่งดงามโดยเขียนสิ่งที่อยากเขียนให้คนที่เรารักได้รับรู้ก่อนจะเกิดอะไรขึ้นเพราะเราอาจจากกันโดยไม่ทันได้ร่ำลาจึงเป็นการเตรียมตัวเตรียมความรู้สึกและทำความเข้าใจว่าความตายเป็นเรื่องธรรมดาของโลกเพื่อให้เราใช้ชีวิตอย่างมีสติและระลึกถึงคุณค่าของสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัว”
สำหรับค่าใช้จ่ายในการเก็บข้อมูล คำไว้อาลัย หรือภาพความทรงจำต่างๆ มีการคำนวณไว้เบื้องต้น เช่น หากต้องการเก็บไว้ 2 สัปดาห์ จะไม่มีค่าใช้จ่าย หากต้องการเก็บไว้ 1 ปี เสียค่าใช้จ่ายประมาณ 2 พันกว่าบาท หรือหากต้องการเก็บไว้ตลอดไป เสียค่าใช้จ่าย 3 พันกว่าบาท
ขยายธุรกิจ Love-Leave-Living-Lifestyles
การแตกหน่อจากกิจการเดิมของครอบครัว สู่การจัดตั้งบริษัท The Idea Essential จำกัด ในลักษณะโฮลดิ้งกรุ๊ป ประกอบด้วย บริษัท Creatia Craft จำกัด ดูแลของชำร่วยงานแต่งงานและงานศพ บริษัท PNC Republica จำกัด ดูแลสินค้าผ้าม่าน บริษัท Narada Asia จำกัด ทำธุรกิจผ้าพันคอ และบริษัท The Design Essential จำกัด ทำธุรกิจด้านงานออกแบบ ทำแบรนดิ้ง และการตลาดให้บริษัทต่างๆ เป็นการบริหารจัดการดำเนินงานเพื่อให้ครอบคลุม 4 กลุ่มธุรกิจเป้าหมาย ได้แก่ งานแต่งงาน (Love) งานศพ (Leave) ของตกแต่งบ้านและผ้าม่าน (Living) และสินค้าไลฟ์สไตล์ (Lifestyle) ทั้งการขายผ่านออนไลน์ วางจำหน่ายในร้านค้าปลีก เช่น Loft, Siam Paragon, Emsphere เป็นต้น
“การออกแบบสินค้าให้สวยเป็นเรื่องหนึ่งแต่การออกแบบให้ขายได้และชนะคู่แข่งเป็นอีกเรื่องหนึ่งสินค้าชิ้นเดียวกันแค่พลิกมุมคิดนิดหน่อยสามารถกลายเป็นสินค้าที่เหมาะสมกับหลายตลาดหลายกลุ่มเป้าหมายได้การค้าในยุคนี้จึงต้องลองหลายวิธีหากยังไม่รู้ว่าทางเลือกไหนหรือวิธีไหนจะชนะการมีหลายหน่วยธุรกิจทำให้เราแข่งกันเพื่อขายสินค้าให้ได้เร็วและดีที่สุดส่วนการเป็นโฮลดิ้งกรุ๊ปทำให้สามารถแชร์ทรัพยากรบางอย่างร่วมกันเช่นฝ่ายทรัพยากรบุคคลบัญชีหรือโซเชียลมีเดีย”
ปัจจุบันสินค้าที่จำหน่ายมีทั้งที่ผลิตเองและสั่งซื้อจากที่อื่นนำมาใส่บรรจุภัณฑ์ใหม่ให้มีความสวยงาม หรือเติมงานดีไซน์ลงไปเพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้าเดิม หรือทำให้มีคุณภาพดีขึ้น โดยมีสัดส่วนรายได้จากงานแต่งงานและงานศพ 30 เปอร์เซ็นต์ งานตกแต่งบ้านและผ้าม่าน 30 เปอร์เซ็นต์ งานหัตถกรรมและผ้าพันคอ 20 เปอร์เซ็นต์ งานดีไซน์และออกแบบแบรนดิ้ง 20 เปอร์เซ็นต์
แคทลียากล่าวว่า การเติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจเป็นผลจากการรับฟังความต้องการของลูกค้า และมองหาโอกาสจากตัวสินค้านั้นๆ ว่าจะทำให้เกิดเป็นธุรกิจใหม่ได้หรือไม่ เช่น การสั่งดอกไม้จำนวนมากเพื่อใช้ในการทำพวงหรีด นำมาต่อยอดเป็นร้านขายดอกไม้ Narvist (นาวิส) ธุรกิจผ้าพันคอ Narada Asia ที่นำมาปรับแต่งเป็นผ้าพันคอพวงมาลัย เป็นของรับไหว้งานแต่ง หรือของที่ระลึกที่หน่วยงานรัฐจัดหาให้แขกบ้านแขกเมือง รวมถึงการมีทีมครีเอทีฟที่ค่อนข้างเก่งในการพัฒนาเว็บไซต์ เก่งในเรื่อง SEO และ SEM การสร้างสรรค์คอนเทนต์ให้เป็นที่น่าสนใจบนโซเชียลมีเดีย เพื่อให้เข้ากับวิถีชีวิตของคนยุคดิจิทัล
ดาว 3 ดวงสู่ความสำเร็จ
ในมุมมองของแคทลียาเห็นว่า คนเราจะประสบความสำเร็จได้ ต้องมีดาว 3 ดวงมาเรียงกันในเวลาที่เหมาะสม คือ “เวลากลยุทธ์และทีมงาน”
เห็นได้จากการเริ่มต้นดูแลธุรกิจดั้งเดิมของครอบครัวมาระยะหนึ่ง จนถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปรับเปลี่ยนการประกอบกิจการให้อยู่ภายใต้รูปแบบโฮลดิ้ง การนำโซเชียลมีเดียมาเป็นเครื่องมือเสริมด้านกลยุทธ์ธุรกิจ มีคนรุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับไอเดียใหม่ๆ เข้ามาเสริมทัพ ผสมกับประสบการณ์ความเชี่ยวชาญและแพสชันส่วนตัวของตนเอง จนกลายเป็นอาวุธสำคัญที่ขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตมาถึงปัจจุบัน
แม้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมจะไม่ค่อยดี เธอยังสามารถนำพาธุรกิจให้มีการเติบโตไปในทิศทางที่น่าพอใจ แต่ความท้าทายกลับเป็นเรื่องการบริหารคนที่ต้องรับมือกับปัญหาหลายอย่าง เช่น ช่องว่างระหว่างผู้บริหารระดับกลางกับเด็กรุ่นใหม่ การส่งต่อการทำงานของคนรุ่นต่างๆ ให้ดำเนินไปในแนวทางที่สอดคล้องกัน
“เราเคยเจอปัญหาดีไซเนอร์ลาออกหมดทั้งทีมต้องหยุดรับลูกค้าต้องแก้ปัญหาโชคดีที่มีพ่อแม่ให้คำปรึกษาพ่อจะสอนเสมอว่าต้องรู้จักแยกปัญหากับความรู้สึกออกจากกันมีปัญหาจงแก้ปัญหาแต่ไม่ต้องรู้สึกกับมันทำให้เวลาที่พบอุปสรรคอย่างพนักงานที่ขายของเก่งมากลาออกให้คิดว่าเป็นการเปิดประตูสู่โอกาสใหม่แก่เขาจะได้สบายใจและไปต่อได้”
อย่างไรก็ตาม เธอกล่าวว่าธุรกิจทุกวันนี้ยังอยู่ห่างไกลความสำเร็จ แต่ยังมีความสนุกที่ได้คิดและลองทำอะไรใหม่ในทุกๆ วัน ได้เรียนรู้ตัวเองว่ามีข้อดีข้อด้อยอย่างไร และกำจัดจุดอ่อนนั้นเสีย สิ่งใดที่ไม่เชี่ยวชาญก็หาคนมาช่วย
“กิ๊ฟยังคิดว่าในอนาคตลูกจะทำอะไรต่อกับธุรกิจที่เราทำอยู่และได้ข้อสรุปว่าธุรกิจยุคต่อไปอาจเป็นสิ่งที่คิดไม่ถึงเราทำได้แค่เตรียมตัวพวกเขาให้รู้ว่าเขาชอบอะไรอยากทำอะไรกับพนักงานก็เช่นกันไม่ว่าจะเป็นคนที่ทำงานอยู่กับเรามานานหรือพนักงานรุ่นใหม่ๆเราต้องหล่อหลอมพวกเขาเหมือนกับที่พ่อแม่หล่อหลอมเรามา”
เป้าหมายที่ปลายทาง
“ทุกวันนี้คุณพ่อที่นอนติดเตียงบอกกิ๊ฟว่าพรุ่งนี้จะไปทำงานคุณแม่ที่ผ่าตัดเปลี่ยนอะไหล่ในร่างกายมาแล้วบอกว่าจะอยู่ให้ถึง 120 ปีทุกคนที่อยู่รอบตัวเรามีชีวิตอยู่ด้วยทัศนคติที่ว่ายังมีอีกหลายสิ่งที่ยังอยากทำบนโลกใบนี้ทุกคนมีพลังในการดำเนินชีวิตสูงมาก”
เธอจึงหวังให้ตัวเองได้เป็นแสงสว่างให้ผู้คนรอบข้าง เป็นคนที่ใครเจอหรืออยู่ใกล้แล้วรู้สึกว่า พวกเขาโชคดี และสามารถส่งต่อพลังงานดีๆ ออกไปสู่ผู้อื่น โดยเฉพาะในเวลาที่ต้องเผชิญกับเรื่องราวที่ไม่ได้ดั่งใจ
“หากถึงวันที่ต้องจากโลกนี้ไปอยากให้คนเขียนถึงตนเองในอาลัย Link ว่าได้เคยทำประโยชน์อะไรให้เขาได้เคยให้รอยยิ้มเคยส่งพลังงานดีๆหรือทำให้ชีวิตพวกเขาดีขึ้นอย่างไรเท่านี้ก็มีความสุข”
สุดท้ายคือหวังให้อาลัย Link เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ผู้คนข้ามผ่านความโศกเศร้าและห้วงเวลาที่ยากลำบาก ทำให้การจัดพิธีศพเป็นไปอย่างสะดวกรวดเร็วและสง่างาม เป็นพื้นที่บันทึกถ้อยคำร่วมอาลัย และรำลึกถึงเรื่องราวดีๆ ของผู้วายชนม์เพื่อให้การจากลานั้นงดงามที่สุด รวมถึงเป็นมรณานุสติให้ผู้ที่ยังอยู่ว่า ได้เกิดมาทำประโยชน์กับใครแล้วหรือยัง มีใครบ้างที่ยังไม่ได้ขอบคุณ และเร่งทำเสียก่อนที่วันนั้นจะมาถึง
“อยากให้คนเห็นประโยชน์และมาใช้กันมากๆเพื่อที่เราจะได้มีดิจิทัลฟุตพรินต์ของผู้ที่จากไปเสมือนยังคงมีชีวิตอยู่ตลอดกาล”
บทสัมภาษณ์อื่น ๆ ที่น่าสนใจ
เปิดมุมมอง “ณัฐกร เวียงอินทร์” แห่ง Future Trends สื่อยุคใหม่ต้องปังทั้งคอนเทนต์ แบรนด์ และกลยุทธ์
“ดร.เอกอนงค์ จางบัว” เบื้องหลัง Food Innopolis และเส้นทางสู่ความสำเร็จ
ถอดสูตรการลงทุนสไตล์ SeaX Ventures กับ “ศุภชัย ปาจริยานนท์”