ในยุคที่ธุรกิจกำลังเผชิญกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและเศรษฐกิจโลก ความยั่งยืนกลายเป็นหัวใจสำคัญขององค์กรชั้นนำ เพราะธุรกิจไม่สามารถมองแค่เป้าหมายทางการเงินหรือความสำเร็จในระยะสั้นได้อีกต่อไป ความยั่งยืนจึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่สามารถตัดสินความสำเร็จหรือความล้มเหลวขององค์กรในอนาคตได้
ภายใต้การพูดคุยกันในหัวข้อ The New Leaders’ Perspective: Sustainability Way Forward ของผู้นำองค์กรจากหลากหลายภาคส่วน จึงเป็นบทสรุปที่ช่วยชี้ให้เห็นถึงทิศทางและกลยุทธ์ที่องค์กรชั้นนำใช้ ในการปรับตัวและก้าวผ่านความท้าทายทางธุรกิจ ในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงได้มากยิ่งขึ้น โดยผู้นำในแต่ละองค์กรจะมีมุมมองอย่างไรบ้างนั้น ดูสรุปได้ดังนี้
PTT Global Chemical กับการปรับตัวของอุตสาหกรรมเคมีสู่ Low Carbon Solution
ดร.ชญาน์ จันทวสุ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานความยั่งยืนองค์กร PTT Global Chemical กล่าวถึงความสำคัญของการปรับตัวในอุตสาหกรรมเคมีที่เชื่อมโยงกับ Supply Chain ทั่วโลกจากสถานการณ์เศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองโลก (Geopolitics) ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยน Supply Chain ใหม่ ๆ โดยเฉพาะในช่วงหลังวิกฤตโควิดที่ธุรกิจหลายภาคส่วนได้รับผลกระทบมากขึ้น เช่น การเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมเคมีที่ประเทศจีนที่ได้เพิ่มการผลิตปิโตรเคมีอย่างมาก ทำให้ธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เคยพึ่งพาการส่งออกไปยังจีนต้องปรับตัว และขณะนี้จีนกลายเป็นผู้ใช้ทรัพยากรหลักภายในประเทศของตนเอง ส่งผลให้ภูมิภาคต้องเปลี่ยนวิธีการดำเนินธุรกิจกันใหม่ โดยการหันกลับมาสำรวจและประเมินโมเดลธุรกิจที่ยั่งยืน (Sustainability Business Model) นอกจากนี้ ภาวะโลกร้อนและภัยธรรมชาติ เช่น อุทกภัยและพายุที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ยังส่งผลทำให้ธุรกิจต้องปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและเพิ่มโอกาสใหม่ ๆ อย่างการเปลี่ยนผ่านไปสู่ธุรกิจทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นด้วย
PTT Global Chemical เองก็เผชิญหน้ากับความท้าทายของการดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมพื้นฐาน โดยเฉพาะในภาคการผลิต เช่น อุตสาหกรรมเหล็ก ซีเมนต์ และปิโตรเคมี ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานจำนวนมาก ทำให้การบรรลุเป้าหมาย Net Zero เป็นเรื่องยากมาก เนื่องจากการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอุตสาหกรรมเหล่านี้ยังต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และแม้ว่าปัจจุบันเทคโนโลยี Decarbonization จะยังไม่สามารถยืดหยุ่นได้มากนัก แต่ทาง PTT Global Chemical ก็ตั้งเป้าว่าจะเป็นบริษัท Net Zero เพื่อสร้างความยั่งยืนในอนาคตด้วย 3 กลยุทธ์หลัก คือ
- ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการสร้างธุรกิจใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการปรับโครงสร้างธุรกิจให้เน้นไปที่การผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายระยะยาวของบริษัท
- ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคด้วยผลิตภัณฑ์ Bio-Plastic ด้วยการใช้วัตถุดิบจากการเกษตร แต่อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนไปใช้พลาสติกจาก Bio-Plastic ทดแทนทั้งหมดเป็นไปได้ยาก เนื่องจากข้อจำกัดในด้านวัตถุดิบ เช่น อ้อยและน้ำตาล ซึ่งจำเป็นสำหรับการผลิตจำนวนมาก และอาจไม่ยืดหยุ่นเพียงพอ
- การรีไซเคิลและการใช้พลังงานสะอาด เช่น การนำขวดพลาสติกที่ใช้แล้วนำกลับมาผลิตใหม่ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย แม้ว่าการรวบรวมวัสดุเพื่อนำมารีไซเคิลจะมีต้นทุนที่สูง แต่หากมีความร่วมมือจากทุกคนในการคัดแยกวัสดุอย่างถูกต้อง ก็จะทำให้การผลิตแบบหมุนเวียนสามารถเกิดขึ้นได้จริง
นอกจากนี้ Global Chemical และกลุ่มปตท. กำลังพิจารณาแผนการลงทุนในเทคโนโลยีการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture Storage – CCS) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่หลายประเทศในยุโรปและอเมริกาได้เริ่มนำมาใช้ โดยตั้งเป้าหมายให้สามารถกักเก็บคาร์บอนได้อย่างน้อย 50-60 ล้านตันภายในปี 2040 ซึ่งแม้จะมีต้นทุนที่สูง แต่ก็เป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพในการลดก๊าซเรือนกระจกในระยะยาว แต่ทั้งหมดนี้ก็ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพราะจะเป็นกุญแจสำคัญในการผลักดันธุรกิจสู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริง
มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงกับการอนุรักษ์ป่าและการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน
หม่อมหลวง ดิศปนัดดา ดิศกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย ซึ่งในช่วงสองปีที่ผ่านมา ดอยตุงได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน แม้จะไม่เจอน้ำท่วมใหญ่ แต่ปริมาณฝนที่ตกเกินพิกัดส่งผลให้เกิดดินถล่ม ถนนถูกตัดขาด ไฟฟ้าไปไม่ถึง และประชาชนขาดแคลนอาหาร ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้นับเป็นสัญญาณเตือนถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมในการรับมือทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ในด้านการพัฒนาเกษตรกรรมที่พึ่งพาสภาพอากาศอย่างมาก การปรับตัวให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงจึงเป็นสิ่งสำคัญ ทางออกหนึ่งคือการนำเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับสภาพภูมิอากาศมาช่วยลดความเสี่ยงให้กับชุมชน ซึ่งถือเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของพื้นที่ “การทำเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) จะเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพโดยเทคโนโลยีดังกล่าวจะมาพร้อมกับการวิจัยและพัฒนา (R&D) และการทำงานร่วมกับชุมชนท้องถิ่น เพื่อให้แน่ใจว่าการพัฒนาที่เกิดขึ้นนั้นจะครอบคลุมทุกภาคส่วนและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ในด้านการอนุรักษ์ป่า ดอยตุงถือเป็นเรือธงสำคัญในภารกิจของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงที่จะประกาศ Net Zero Pathway ภายในสิ้นปีนี้ โครงการดังกล่าวจะเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าที่สุด โดยการนำวัสดุต่าง ๆ กลับมาใช้ใหม่ รวมถึงการจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการผลิตกาแฟบนดอยตุง กาแฟถูกปลูกใต้ร่มไม้ในป่าเขียวชอุ่ม ซึ่งโจทย์สำคัญคือการสร้างรายได้ให้ชุมชนผ่านการแปรรูปกาแฟ โดยต้องลงทุนในการติดตั้งเครื่องจักรและสอนชาวบ้านให้สามารถควบคุมเครื่องจักรในการผลิต Green Bean พร้อมสำหรับการคั่ว อย่างไรก็ตาม การผลิต Green Bean ต้องใช้น้ำจำนวนมาก ซึ่งอาจเกิดปัญหาน้ำเสียที่ต้องได้รับการจัดการอย่างดี มิฉะนั้นจะส่งผลกระทบต่อแหล่งน้ำของชุมชนตามมาได้
และอีกหนึ่งโครงการสำคัญของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงคือโครงการปลูกป่าที่ดำเนินการมาเป็นเวลากว่า 35 ปี ครอบคลุมพื้นที่กว่า 400,000 ไร่ ปัจจุบันยังคงขยายต่อเนื่องด้วยการดำเนินโครงการป่าชุมชนซึ่งครอบคลุมพื้นที่กว่า 300,000 ไร่ และมีแผนจะขยายเพิ่มอีก 450,000 ไร่ในปีหน้า โดยการปลูกป่ามีบทบาทสำคัญในการลดคาร์บอนและเป็นแรงจูงใจให้ชาวบ้านรักษาธรรมชาติมากยิ่งขึ้น
บี.กริม เพาเวอร์กับการส่งมอบพลังงานสะอาดเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน
นพเดช กรรณสูต รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานการลงทุน นวัตกรรม และความยั่งยืน บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแนวทางการพัฒนาและส่งมอบพลังงานที่ยั่งยืนให้กับภาคอุตสาหกรรมและภาคเชิงพาณิชย์ โดยบี.กริม เพาเวอร์ มุ่งเน้นการผสมผสานระหว่างพลังงานทดแทนและพลังงานฟอสซิลเพื่อให้เกิดความสมดุล พลังงานที่เพียงพอต่อการเติบโตของประเทศและสังคมโลก ขณะเดียวกันก็ยังต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิต เพื่อขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน
บี.กริม เพาเวอร์ ตั้งเป้าหมายที่จะเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2050 ผ่านแนวทางการพัฒนาพลังงานสะอาดและการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยมุ่งมั่นเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่องค์กรอื่น ๆ ในการพัฒนาสู่อนาคตที่ยั่งยืนด้วย 3 หลักการ ดังนี้
- มุมมองการเติบโตระยะยาวและการสร้างคุณค่าที่ยั่งยืน – บี.กริม เพาเวอร์ มีจุดแข็งในฐานะองค์กรที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ผสมผสานกับหัวคิดที่ทันสมัย รวมถึงส่งเสริมการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนในทุกภาคส่วน บริษัทจึงเน้นคุณภาพมากกว่าราคาในการลงทุนในโครงการต่าง ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าการพัฒนาทุกครั้งจะสร้างประโยชน์ทั้งต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
- การมีส่วนร่วมของชุมชนและสังคม – บี.กริม เพาเวอร์ ให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกับพันธมิตร คู่ค้า และลูกค้า โดยมุ่งเน้นการร่วมมือกันในการพัฒนาสังคมและชุมชนที่บริษัททำงานด้วย นับตั้งแต่เริ่มต้น บี.กริม เพาเวอร์ ได้ลงทุนในโครงการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาชุมชนในหลายรูปแบบ เช่น ระบบชลประทาน สาธารณูปโภค การขนส่ง และพลังงานทดแทน
- ปรัชญาการดำเนินธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารี – ดำเนินธุรกิจด้วยหลักการของ พรหมวิหาร 4 ได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา แนวคิดนี้ถูกนำมาใช้ในการบริหารงานอย่างยั่งยืน และเปรียบเสมือน “ต้นไม้แห่งความโอบอ้อมอารี” (Tree of Compassion) ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการดำเนินงานของบริษัท ทั้งนี้ บี.กริม ยังเริ่มการประชุมด้วยการระฆังสติ เพื่อปรับสมองให้เข้าสู่การสื่อสารที่สร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพ
สำหรับในด้านกลยุทธ์ที่จะดำเนินต่อไปบี.กริม เพาเวอร์ต้องการที่จะขับเคลื่อนสู่ Net Zero โดยมีจุดโฟกัสใน 2 เรื่องด้วยกัน คือ
- การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพบี.กริม เพาเวอร์ มีจุดเริ่มต้นจากการใช้พลังงานแก๊ส ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักของประเทศไทย การประสานงานและความร่วมมือจากทุกภาคส่วนจึงมีความสำคัญต่อการพัฒนาให้พลังงานแก๊สให้มีความยั่งยืน รวมถึงการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าให้ได้มากขึ้นในอนาคต
- การเตรียมพร้อมสำหรับการเปิดเสรีไฟฟ้านโยบายรัฐบาลที่จะเปิดเสรีในตลาดไฟฟ้าในปีหน้าเป็นโอกาสที่บี.กริม เพาเวอร์ต้องเตรียมความพร้อมในด้านองค์ความรู้ การพัฒนาบุคลากร และเทคโนโลยีเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางพลังงานที่จะเกิดขึ้นตามมาด้วยเช่นกัน
ซีพี กรุ๊ปกับความท้าทายของธุรกิจสู่ความยั่งยืน
ดร.ธีระพล ถนอมศักดิ์ยุทธ ประธานคณะผู้บริหาร ด้านความยั่งยืนองค์กรและการพัฒนากลยุทธ์ และประธานคณะผู้บริหาร ยุทธศาสตร์ข้อมูลและการสื่อสาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวถึงปัญหา Scope 3 หรือการลดคาร์บอนในห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากในการทำความเข้าใจกับชุมชนท้องถิ่น โดยยกตัวอย่างว่า การขอให้เกษตรกรลดคาร์บอนอาจดูแปลกหรือเข้าใจยากในระดับชุมชน ความท้าทายขององค์กรขนาดใหญ่คือการสื่อสารและสร้างความเข้าใจในเรื่องความยั่งยืนต่อชุมชน ซึ่งทำได้ยากหากใช้แค่ภาษาเทคนิคของธุรกิจ
ดังนั้น การตั้งเป้าหมายความยั่งยืนอย่าง Net Zero ภายในปี 2030 หรือ 2050 นั้นเป็นเป้าหมายที่ท้าทายและต้องการความร่วมมือจากทุกฝ่าย เนื่องจากความยั่งยืนไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้คนเดียว แต่ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันทั้งในระดับองค์กร ระดับชุมชน และระดับประเทศร่วมกันอย่างแท้จริง ยกตัวอย่างเช่น เรื่องของ Globalization อย่างการซื้อขายวัตถุดิบและการผลิตจากต่างประเทศต้องพิจารณาเรื่องความยั่งยืนและภาษีคาร์บอน การเปลี่ยนแปลงในโลจิสติกส์และการค้าระหว่างประเทศจะมีผลกระทบโดยตรงกับธุรกิจ การปรับตัวของธุรกิจในการลดคาร์บอน (Decarbonization) ฯลฯ ซึ่งต้องอาศัยการร่วมมือจากหลายภาคส่วนค่อนข้างมาก
ในส่วนของการลดคาร์บอน เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) เองก็ได้มุ่งมั่นในการพัฒนาพลังงานสะอาดและลดการปล่อยคาร์บอน เช่น การติดตั้งโซลาร์เซลล์ในเครือโลตัสและแม็คโคร แม้จะช่วยลดคาร์บอนได้เพียง 25% แต่เครือยังคงมองหาวิธีการใหม่ ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย Net Zero ในอนาคต ซึ่งก็ได้ร่วมมือกับหลายหน่วยงาน เช่น UN Global Compact Network Thailand (UNGCNT) ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวแทนภาคเอกชนในการขับเคลื่อนความยั่งยืน โดยเป้าหมายคือการนำแนวทาง Net Zero มาสู่หน่วยธุรกิจต่าง ๆ และเชื่อมโยงตลาดเพื่อสร้างโอกาสในการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืนด้วยการการเตรียมความพร้อมทั้งในด้านการเงินและเทคโนโลยีจะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้บริษัทสามารถปรับตัวจากการเป็น “ยูสเซอร์” หรือผู้ใช้เทคโนโลยี มาเป็น “เพลเยอร์” หรือผู้นำในการนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นจริง
จากมุมมองของผู้นำทั้ง 4 ท่านจะเห็นว่าการขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืนไม่ใช่หน้าที่ขององค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน ทุกวิกฤตที่เกิดขึ้นเป็นโอกาสที่จะร่วมมือกันสร้างแนวทางใหม่ ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาและสร้างอนาคตที่ดีกว่า ซึ่งในการทำเช่นนี้ได้การใช้เทคโนโลยี การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการร่วมมือข้ามหน่วยงาน จะเป็นกุญแจสำคัญที่นำพาธุรกิจสู่ความยั่งยืนในโลกอนาคตได้อย่างยั่งยืนมากขึ้น
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
Krungsri Green IT เน้นใช้กลยุทธ์ ESG ปรับเข้ากับการดำเนินงานด้าน IT Operation
เอสซีจีเปลี่ยนกลยุทธ์ ปรับทัพใหม่ เดินหน้าแผนรุก เสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจ