นับถอยหลังอีกไม่กี่วัน โดนัลด์ ทรัมป์ก็จะขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้งแล้วนะครับ
ย้อนไปก่อนหน้าจะรู้ผลเลือกตั้ง ผมได้รับคำถามจากนักลงทุนที่ถามผมเข้ามาว่า หลังเลือกตั้ง ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะเป็นอย่างไร และพวกเขาควรรอผลการเลือกตั้งก่อนค่อยลงทุนหุ้นสหรัฐฯ ดีไหม ผมก็ได้ยืนยันด้วยสถิติย้อนหลังของดัชนี S&P500 ที่ยังคงเป็นขาขึ้นเสมอ แม้จะผ่านการเลือกตั้งมากี่ครั้งก็ตาม วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องนี้ให้ฟังครับ
แต่ก่อนอื่น ผมขอแบ่งกลุ่มนักลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ที่มีความลังเลในช่วงนี้ออกเป็น 3 กลุ่มด้วยกันครับ
กลุ่มแรกคือลงทุนไว้อยู่แล้ว ถือต่อและลงทุนเพิ่ม
กลุ่มถัดมาคือลงทุนไว้อยู่แล้ว ลังเลว่าจะขายทำกำไรก่อนดีไหม
และกลุ่มสุดท้ายคือยังไม่ได้ลงทุน ลังเลว่าจะลงทุนดีไหม
ที่แน่ ๆ หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีผ่านมาถึงเวลานี้ เราได้เห็นกันแล้วว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ยังคงร้อนแรงไม่หยุด ฉุดไม่อยู่กันเลยทีเดียวครับ
แล้วจะยังไงต่อไปดี
วันนี้เรามีสถิติที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ถูกต้อง มาเล่าให้ฟังครับ อ่านจบคุณจะรู้ว่าควรจัดการกับพอร์ตของคุณอย่างไรดี เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พุ่งกระฉูดแบบนี้
เริ่มกันที่คำถามยอดฮิตกันดีกว่า
หุ้นสหรัฐฯ ตอนนี้ยังลงทุนได้ไหม?
ถ้าถามว่าลงทุนได้ไหม ต้องขอบอกว่า ‘ลงทุนได้’ ครับ เพราะอะไรลองมาดูสถิติกัน
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีดัชนีที่คุณคุ้นหูกันอยู่ 3 ดัชนี คือ ดัชนี S&P 500 ดัชนี Dow Jones และ ดัชนี Nasdaq
ซึ่งครั้งนี้เราจะพูดถึงดัชนี S&P 500 เป็นหลักครับ เพราะเป็นดัชนีที่สื่อถึงตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยภาพรวมได้มากที่สุดแล้ว
ตอนนี้คุณคงมองว่าหุ้นสหรัฐฯ พุ่งขึ้นมามากแล้วใช่ไหมครับ เรียกได้ว่าทำ New High กันไม่พักเลยทีเดียว
ซึ่งก็ใช่ครับ ดัชนี S&P 500 ทำ All Time High ไปแล้วกว่า 50 ครั้งในปีนี้!!
แต่ในระยะยาว ผมก็ยังมองว่ายากที่จะหยุดดัชนีไว้แค่นี้ครับ
ถ้าคุณลองมองกราฟดัชนี S&P 500 ดี ๆ ก็จะเห็นได้ว่า จากอดีตถึงปัจจุบัน แม้จะมีบางปีที่ร่วงลงไปบ้างจากวิกฤติต่างๆ นานา แต่ในระยะยาวตลาดหุ้นมีแนวโน้มขาขึ้นมาตลอดครับ
และจากสถิติย้อนหลัง 98 ปี ดัชนี S&P 500 มีปีที่เป็นบวกมากถึง 72 ปี เลยทีเดียว
หลายคนอาจจะกลัวว่าปีนี้ตลาดหุ้นขึ้นมาเยอะแล้ว เพราะหากนับจากปี 2565 ที่สหรัฐฯ เผชิญวิกฤติเงินเฟ้อ เราก็ได้เห็นตลาดหุ้นปรับบวกขึ้นมาติดต่อกันเป็นปีที่ 2 แล้ว ทำให้บางคนอาจจะหวั่นลึกๆ ว่าปีหน้าตลาดหุ้นสหรัฐจะเข้าสู่ขาลงแล้วไหม?
ผมอยากชวนให้ย้อนดูตัวอย่างปีที่เกิดวิกฤติกันดีกว่าครับ
ในช่วงปี 2543 – 2545 ที่เกิดวิกฤติ Dot Com ดัชนี S&P 500 ปรับลดลงติดต่อกันถึง 3 ปี แต่เมื่อวิกฤติคลี่คลายก็กลับมาปรับบวกติดต่อกัน 5 ปีเลยทีเดียว
หรืออย่างในช่วงวิกฤติ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ปี 2561 ดัชนี S&P 500 ปรับลง 1 ปี และกลับมาบวกติดกัน 3 ปี
เวลานี้ที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก้าวผ่านวิกฤติเงินเฟ้อที่ ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลดลงในปี 2564 แล้วกลับมาปรับตัวขึ้นได้ในปี 2565 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน รวมแล้ว 2 ปี ก็ถือว่ายังน้อยกว่าวิกฤติครั้งอื่น ๆ อยู่
ประกอบกับในปีนี้ เป็นปีที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่ส่วนใหญ่แล้วตลาดหุ้นจะเป็นบวก
และตามสถิติแล้วไม่ว่าใครจะชนะการเลือกตั้ง ผลตอบแทนในปีหลังจากการเลือกตั้ง
ดัชนีส่วนใหญ่เป็นบวกเสมอ (ยกเว้นปีที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ เช่น วิกฤติ Dot Com ปี 2544)
ทำให้ในปีหน้ามีแนวโน้มสูงที่ตลาดหุ้นจะปรับบวกเช่นเดียวกัน
สำหรับกลุ่มนักลงทุนที่ลงทุนหุ้นสหรัฐฯ เอาไว้อยู่แล้ว ลังเลว่าจะขายทำกำไรก่อนดีไหม?
ในกรณีนี้คุณมีสิทธิ์ที่จะบริหารความเสี่ยงของตัวเองครับ แต่อย่าลืมว่าไม่มีใครรู้อนาคต จากสถิติแล้วปีหน้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจขึ้นต่อก็ได้
ดังนั้นถ้าคุณขายทำกำไรก่อน คุณก็ต้องรับความเสี่ยงที่จะพลาดโอกาส พลาดผลตอบแทนในส่วนนี้ไปเช่นกัน
แต่ลองคิดดูดีๆ ครับ สำหรับนักลงทุนระยะยาว หุ้นที่คุณหมายมั่นปั้นพอร์ตมา ตั้งแต่ตอนพอร์ตหุ้นยังเตาะแตะ บางคนถัวเฉลี่ย DCA เพิ่มทุนช่วงที่ค่าเงินบาทดีๆ …
แล้วคุณรู้ทั้งรู้จากสถิติมากมายว่า มันมีโอกาสที่จะพุ่งขึ้นไปอีก คุณไม่อยากไปต่อจริง ๆ หรือครับ
ส่วนใครที่ยังลังเลว่าจะลงทุนดีไหม?
คำตอบก็คือ ยังลงทุนได้ครับ โดยเฉพาะการลงทุนระยะยาว ที่ต้องบอกว่าโอกาสยังเปิดกว้างอยู่เสมอครับ
โลกยังคงถูกขับเคลื่อนไปข้างหน้า ถ้าคุณยังคงชักช้า ลังเล ระยะเวลาที่คุณจะได้โอกาสทำกำไรจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็อาจน้อยลงได้นะครับ
บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน
3 วิธีสร้างวินัย ออมยังไงให้มีเงิน DCA
ตราสารหนี้ระยะสั้นมีดีอย่างไร ทำไมต้องมีติดพอร์ต
จังหวะนี้ควรลงทุนแบบไหน ที่ไหนดี