Share on
×

Share

ทีมเจรจาไทย อย่าหลงประเด็น

ขณะที่ประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงต่างพาเหรดขอเจรจากับสหรัฐหลังจากที่พากันโดนภาษีอัตราใหม่ถ้วนหน้า ทั้งเวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย ต่างมีคิวได้พบปะเจรจาและมีข้อเสนอกับผู้แทนสหรัฐตามที่ ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคประชาชน ออกมาเปิดเผยไทม์ไลน์ ดังนี้

เมื่อวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา รองนายกรัฐมนตรีเวียดนาม Ho Duc Phoc ได้เข้าพบ รมต. คลัง Scott Bessent และหลังจากได้ร่วมประชุมกับผู้แทนการค้าสหรัฐ Jamieson Greer

ส่วน รมต. การค้าและอุตสาหกรรมของมาเลเซียได้เดินทางไปเจรจาแล้วเมื่อวันที่ 24 เมษายน กำหนดการพบกับผู้แทนการค้าสหรัฐ มาเลเซียจะใช้จุดแข็งการเป็นฐานที่ตั้งสำคัญของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในเอเชียเข้าต่อรอง

ส่วนอินโดนีเซีย ได้ประชุมร่วมกับผู้แทนการค้าสหรัฐ Jamieson Greer และรัฐมนตรีพาณิชย์ Howard Lutnick เมื่อวันที่ 17 เมษายน โดย 1 วันก่อนหน้า Sugiono รมต. ต่างประเทศอินโดนีเซีย ได้พบกับ Rubio รมต. ต่างประเทศสหรัฐ เสนอนำเข้าพลังงานจากสหรัฐเพิ่ม ทั้งน้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป และก๊าซ LPG รวมถึงสินค้าเกษตร อย่างข้าวสาลี ถั่วเหลือง และกากถั่วเหลือง ซึ่งจะช่วยเพิ่มยอดนำเข้าจากสหรัฐได้ 19,000 ล้านดอลลาร์ พร้อมเสนอลดภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้านำเข้าจากสหรัฐบางรายการ ผ่อนคลายระเบียบเรื่อง local content สำหรับอุตสาหกรรมโทรคมนาคมและเทคโนโลยี

ส่วนไทยตอนแรก “นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร” เปิดเผยว่า ทีมเจรจาของไทยมีคิวจะเจรจากับสหรัฐในวันที่ 23 เมษายน หลังจากนั้นไม่กี่วันก็ออกมาบอกว่า ต้องเลื่อนออกไปเพื่อจัดเตรียมข้อมูลเอกสารการเจรจาเพื่อความรอบคอบ แต่เบื้องหลังจริง ๆ คนวงในบอกว่าทางสหรัฐไม่ได้ตอบรับ จึงต้องยกเลิกเกือบนาทีสุดท้าย ทำให้ พิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และ รมว. คลัง ต้องเปลี่ยนโปรแกรมกะทันหัน สั่งเบรกทีมเจรจาของไทยที่เตรียมเหินฟ้าไปกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. หันหัวเรือเลี้ยวกลับกลางทางแทบไม่ทัน

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการตอกย้ำว่า ไพ่ต่อรองในมือของไทยนั้น “แต้มเป็นรอง” ยังไม่ถึงขั้นที่สหรัฐจะเปิดประตูทำเนียบขาวให้เข้าพบ ต่างจากเพื่อนบ้านในอาเซียนที่พากันทยอยเจรจา

อย่างไรก็ตาม การที่เจรจาช้าหรือเร็วไม่ใช่เครื่องการันตีว่าประสบความสำเร็จ มันอยู่ที่จังหวะ แต่ถ้าได้เข้าไปเจรจาก่อนอย่างน้อยเพื่อแสดงให้สหรัฐเห็นว่าเราให้ความสำคัญ และเราอาจจะได้เห็นไพ่ก่อน รู้ว่าคู่เจรจามีอะไรอยู่ในมือ ดังกรณีญี่ปุ่น ที่สหรัฐต้องการให้ญี่ปุ่นนำเข้ารถยนต์และข้าวที่ผลิตในสหรัฐ ทำให้ญี่ปุ่นรู้ว่าสหรัฐต้องการอะไร

ทั้งนี้เพื่อจะนำมากำหนดยุทธวิธีเจรจาต่อรอง อย่างกรณีญี่ปุ่น แยกกลยุทธ์ออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มการค้าจะเจรจากันระหว่างกระทรวงพาณิชย์ญี่ปุ่นกับกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ เรื่องค่าเงิน เป็นเรื่องระหว่างกระทรวงการคลังสองประเทศ และกลุ่มความมั่นคง ก็จะแยกกันเจรจาต่างหาก

แต่ละประเทศเตรียมตัวพร้อมเต็มที่ ขณะที่ไทยยังไม่มีความชัดเจนว่าจะเอาอะไรไปต่อรอง แรก ๆ บอกว่าจะให้นำเข้าสินค้าเกษตร ถั่วเหลือง ข้าวโพดจากสหรัฐเพื่อนำมาแปรรูปส่งออกต่อ แต่ก็ถูกต่อต้านจากผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ และจะซื้อเครื่องบินรบ ก็เริ่มมีคนไม่เห็นด้วย รวมถึงปิโตรเคมีและก๊าซธรรมชาติ ดูจะเป็นการเอาใจมากกว่าต่อรอง

อันที่จริงทรัมป์ประกาศจะขึ้นภาษีอัตราใหม่ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม วันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมาเป็นแค่ตัวเลขอัตราภาษีที่จะเก็บแต่ละประเทศ แต่ไทยกลับไม่เตรียมการล่วงหน้า จะเห็นจากกรณีสหรัฐไม่รับนัด เป็นไปได้ที่เราติดต่อไปกะทันหัน

ยิ่งน่าห่วง เมื่อเห็นหน้าเห็นตาทีมเจรจาของไทย ที่มี พิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีคลัง และพิชัย ณริพทพันธ์ ทั้งคู่ไม่มีประสบการณ์ด้านต่างประเทศ เฉพาะอย่างยิ่งการเจรจาต้องชิงไหวชิงพริบ สามารถพูดตอบโต้ได้ทันควัน ยิ่งเป็นการเจรจาระดับชาติ จะมีความซับซ้อนและละเอียดอ่อน คณะที่ปรึกษา พันศักดิ์ วิญญรัตน์ ก็เป็นนักคิด ไม่ใช่นักเจรจา ดร. ศุภวุฒิ ก็มีความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์มหภาค แต่ทั้งคู่ไม่มีประสบการณ์ด้านการเจรจาหรือวางกลยุทธ์ในการเจรจา

ที่น่าแปลกใจว่างานระดับชาติ ทำไมไม่มีนายกฯ แพทองธาร อยู่ในฐานะหัวหน้าทีม รวมถึง มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีต่างประเทศ ที่น่าจะมีประสบการณ์ในการเจรจาระหว่างประเทศมากกว่าคนอื่นๆ

ต้องเข้าใจว่าการเจรจากับ โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ต้องทันเกม ต้องตีโจทย์ให้แตก อย่าหลงประเด็น ประเด็นที่ไทยโดนเก็บภาษีมหาโหด ไม่ใช่กรณีไทยเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐสูงจนแข่งขันไม่ได้ หรือการที่ไทยเกินดุลการค้าสหรัฐค่อนข้างมาก จนทำให้สหรัฐมองว่าไม่เป็นธรรม

ไฮไลต์จริง ๆ คือ กรณีที่ไทยปล่อยปละละเลยให้คนจีนเข้ามาตั้งโรงงานผลิตสินค้าแล้วสวมสิทธิ์สินค้าไทยส่งออกไปสหรัฐที่เรียกว่า ”โรงงานศูนย์เหรียญ” รวมถึงกรณีส่งออกศูนย์เหรียญ ที่มีทั้งสินค้าที่ผลิตจากโรงงานศูนย์เหรียญ และสินค้าที่ผลิตจากจีน ใช้ไทยเป็นทางผ่านมาสวมสิทธิ์ส่งออกไปยังสหรัฐ อาจจะรวมถึงกรณีที่ไทยส่งกลับชาวอุยกูร์ให้รัฐบาลจีน ที่สหรัฐประณามไทยก่อนหน้านี้

ฉะนั้น กลยุทธ์ในการเจรจาต้องตีโจทย์ให้แตก ประเด็นหลักน่าจะเป็นที่สหรัฐมองว่าไทยตามใจจีน และยอมให้จีนใช้เป็นฐานการตั้งโรงงานศูนย์เหรียญและส่งออกศูนย์เหรียญ ดังนั้น รัฐบาลไทยต้องแสดงความจริงใจในการเร่งแก้ปัญหา เหมือนเวียดนามที่รับปากว่าจะออกมาตรการป้องกันการสวมสิทธิ์ โดยการเพิกถอนอำนาจการให้ certificate of origin หรือ C/O จากองค์กรต่าง ๆ ให้มาอยู่หน่วยงานรัฐ นอกจากนี้ยังทบทวนอุปสรรคการค้าอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ภาษี และมีมาตรการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา

ดูการจัดทีมเหมือนจะเน้นที่ทีมเศรษฐกิจ แต่สหรัฐขึ้นภาษีมีหลายปัจจัย ทั้งเศรษฐกิจและความมั่นคง การเจรจาไทยต้องแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าจะไม่ยอมหรือตามใจจีนทุกเรื่องเหมือนที่ผ่านมา

บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน

ระบบอุปถัมภ์-ข้าราชการ กับดักสู่ปัญหาวิกฤติของชาติ

‘ส่งออกศูนย์เหรียญ’ ทำไทยป่วน

×

Share