ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่ถาโถมภาคธุรกิจทั่วโลก ธนาคารกสิกรไทย (KBank) เสนอแนวทางสำคัญในการนำพาองค์กรสู่ความยั่งยืน พร้อมปลุกจิตวิญญาณ “เผชิญหน้าและลุกขึ้นสู้” (Face Everything And Rise) เพื่อก้าวข้ามวิกฤตการณ์ ณ งานสัมมนา “Earth Jump 2025”
ขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย (KBank) เสนอแนวทางสำคัญสำหรับภาคธุรกิจในการรับมือกับความผันผวนของโลกและมุ่งสู่ความยั่งยืน ชูกลยุทธ์ 3 ขั้นตอนหลัก ได้แก่ Health Check, Commitment และ Solution ณ งานสัมมนา “Earth Jump” พร้อมกระตุ้นให้องค์กรต่าง ๆ เลือกที่จะ “เผชิญหน้าและลุกขึ้นสู้” (Face Everything And Rise) กับทุกความท้าทาย เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว
ขัตติยาได้กล่าวถึงสถานการณ์โลกปัจจุบันว่าเต็มไปด้วยความท้าทายหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการทางการค้า ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ สภาวะเศรษฐกิจถดถอย การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี AI การระบาดของโรค และที่สำคัญคือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติรุนแรงและอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น สร้างความกังวลและแรงกดดันต่อทุกภาคส่วน
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KBank ได้ตีความคำว่า “FEAR” (ความกลัว) ออกเป็นสองแนวทางสำหรับองค์กรเมื่อเผชิญปัญหา คือการเลือก “Forget Everything And Run” หรือการลืมทุกสิ่งแล้ววิ่งหนีปัญหาไป กับอีกทางเลือกคือ “Face Everything And Rise” ซึ่งหมายถึงการเผชิญหน้ากับทุกปัญหาและความท้าทายแล้วลุกขึ้นสู้
ขัตติยาเน้นย้ำว่า การหยุดนิ่งไม่ใช่ทางออก แต่การเดินหน้าต่อไปด้วยความเข้าใจและเปลี่ยนความกลัวให้เป็นพลังงานคือสิ่งจำเป็น แม้ว่าความไม่แน่นอนในปัจจุบันจะชัดเจนและส่งผลกระทบรุนแรงกว่าในอดีต
“สิ่งสำคัญคือการเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละธุรกิจ เราต้องรู้จักเลือกใช้อุปกรณ์ ความรู้ และเครื่องมือที่เหมาะสมกับบริบทของตนเอง” ขัตติยา กล่าว
ขัตติยา นำเสนอกลยุทธ์ 3 ขั้นตอนสำคัญที่ KBank ใช้และธุรกิจอื่นสามารถนำไปปรับใช้เพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนได้ ขั้นตอนแรกคือ Health Check หรือการตรวจสุขภาพองค์กร เพื่อทำความเข้าใจสถานะปัจจุบัน โดยเฉพาะด้านการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งการดำเนินงานของธนาคารปล่อยก๊าซเรือนกระจก 72,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ขณะที่พอร์ตโฟลิโอสินเชื่อและการลงทุนที่ให้กับลูกค้าปล่อยก๊าซสูงถึง 18 ล้านตัน ซึ่งมากกว่าถึง 680 เท่า ชี้ให้เห็นความสำคัญของการที่ธนาคารต้องช่วยลูกค้าเปลี่ยนผ่านสู่ Net Zero
ขั้นตอนที่สองคือ Commitment หรือการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน โดย KBank ตั้งเป้า Net Zero Emission ในการดำเนินงานภายในปี 2030 และให้พอร์ตสินเชื่อสอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศ
นอกจากนี้ ยังสนับสนุนทางการเงินแก่ลูกค้าเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ Net Zero ด้วยเป้าหมาย 1-2 แสนล้านบาท ซึ่งปัจจุบันได้อนุมัติไปแล้ว 150,000 ล้านบาท
ขั้นตอนสุดท้ายคือ Solution หรือการหาทางออกและเครื่องมือที่เหมาะสม สำหรับการดำเนินงานภายใน KBank ได้ติดตั้ง Solar Rooftop เปลี่ยนรถยนต์เป็น EV และดำเนินมาตรการประหยัดพลังงานต่าง ๆ
ส่วนการสนับสนุนลูกค้า KBank ได้พัฒนา K Climate Solutions ซึ่งเป็นระบบนิเวศครบวงจร ประกอบด้วยการให้ความรู้ผ่าน KBank Climate Action Research Center (KCRC) และหลักสูตร The Net Zero CEO Program บริการที่ปรึกษา K Climate ESG Advisory และเครื่องมือดิจิทัล เช่น แพลตฟอร์ม K Climate 1.5 สำหรับคำนวณและรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก K Green Space ตลาดกลางโซลูชันประหยัดพลังงาน และ Green Pass แพลตฟอร์มซื้อขายใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (REC) อีกทั้งยังมีการสร้างเครือข่าย Thailand Climate Business Network ( Thailand CBN) ที่มีองค์กรชั้นนำร่วมกว่า 333 แห่ง
“แม้เราไม่สามารถควบคุมความแปรปรวนหรือพายุใด ๆ ได้ แต่เราสามารถใช้ความรู้และเครื่องมือในการบริหารจัดการ เพื่อก้าวผ่านความท้าทาย หากเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนและมุ่งมั่น เราจะสามารถเผชิญหน้า ล้มแล้วลุกขึ้นใหม่ และมุ่งสู่ความสำเร็จร่วมกันได้” ขัตติยา กล่าวทิ้งท้าย
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ENTEC สวทช. โชว์ผลงานวิจัย-นวัตกรรมพลังงาน ย้ำภารกิจขับเคลื่อนไทยสู่ความยั่งยืน
ไทยใช้พลังจัดซื้อสีเขียว สู่ Net Zero ท่ามกลางวิกฤติสิ่งแวดล้อมรุนแรง