ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ชนิดที่เรียกว่าพลิกฝ่ามือ การมาถึงของ Generative AI ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทุกวงการ แต่ในขณะที่โลกกำลังเรียนรู้ที่จะใช้งาน AI ในฐานะผู้สร้างสรรค์ เทคโนโลยีก็ได้ก้าวกระโดดไปอีกขั้น สู่บทบาทใหม่ที่ซับซ้อนและทรงพลังยิ่งกว่า ซึ่งพร้อมจะเปลี่ยนนิยามของคำว่า ‘การทำงาน’ และโครงสร้างขององค์กรไปตลอดกาล
ดร.ทัดพงศ์ พงศ์ถาวรกมล กรรมการผู้จัดการ กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) กล่าวบนเวทีสัมมนา The Story Thailand Forum 2025: Sustainability on the Age of AI ว่า ปัจจุบันคือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของโลกเทคโนโลยี ยุคของ Generative AI ที่ทำหน้าที่เป็นเพียง “ผู้ช่วย” (Co-pilot) กำลังจะถูกพลิกโฉมโดย “Agentic AI” ซึ่งเป็นปัญญาประดิษฐ์ในฐานะ “เพื่อนร่วมงาน” (Co-worker) ที่สามารถคิด วิเคราะห์ และลงมือทำงานที่ซับซ้อนแทนมนุษย์ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ถือเป็นสัญญาณแห่งการปฏิวัติรูปแบบการทำงานและโมเดลธุรกิจครั้งใหญ่ที่สุดในรอบทศวรรษ
ดร.ทัดพงศ์ย้ำว่านี่ไม่ใช่เพียงกระแส แต่เป็นทิศทางที่ผู้นำเทคโนโลยีระดับโลกต่างมุ่งไป ไม่ว่าจะเป็น Satya Nadella จาก Microsoft, Sundar Pichai จาก Google, Jensen Huang จาก Nvidia ไปจนถึง Marc Benioff จาก Salesforce ที่ต่างมองว่า Agentic AI คือโมเดลเศรษฐกิจและโมเดลการทำงานยุคใหม่ ดังนั้น การปรับตัวจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นเพื่อความอยู่รอดในการแข่งขัน
จาก “ผู้สร้าง” สู่ “ผู้ลงมือทำ”: นิยามใหม่ของ AI ที่ทรงพลังกว่าเดิม
วิวัฒนาการของ AI คือการเดินทางเพื่อทำให้คอมพิวเตอร์มีความสามารถเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ยุค Rule-based (1956-1980s) ที่ AI มีความสามารถในการประมวลผลได้รวดเร็ว (AI = Fast) สู่ยุค Machine Learning (1980s-2000) ที่ AI สามารถเรียนรู้จากข้อมูลได้ (AI = Learn) ต่อด้วยยุค Deep Learning (2000-2015) ที่ AI รับรู้และเข้าใจข้อมูลซับซ้อนได้ (AI = Perceive) และล่าสุดคือยุค Generative AI (2015-ปัจจุบัน) ซึ่ง AI สามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ (AI = Create) โดยเป็นระบบปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถสร้างข้อความ รูปภาพ หรือสื่ออื่น ๆ เพื่อตอบสนองต่อคำสั่งได้
ที่ผ่านมาเราคุ้นเคยกับ Generative AI (GenAI) ในฐานะเครื่องมือสร้างสรรค์ที่ช่วย “สร้างเนื้อหา” (Creates content) ตามคำสั่ง โดยได้รับความนิยมอย่างสูงในกลุ่มนักการตลาด (65%) และนักพัฒนาซอฟต์แวร์ (63%) และมีแนวโน้มการใช้งานที่เปลี่ยนไปสู่การสนับสนุนด้านอารมณ์และความรู้สึกมากขึ้น
โดย Therapy/Companionship หรือการเป็นเพื่อนคู่คิด ได้กลายเป็นหนึ่งใน Use case อันดับต้น ๆ แต่ Agentic AI คือวิวัฒนาการขั้นต่อไปที่ถูกออกแบบมาเพื่อลงมือปฏิบัติการ (Takes action) โดยมีคุณสมบัติสำคัญ 6 ประการ คือ การทำงานอัตโนมัติ (Autonomy) การตอบสนองและปรับตัวตามสถานการณ์ (Reactivity) การทำงานเชิงรุกที่สามารถคาดการณ์ความต้องการล่วงหน้าได้ (Proactivity) ความสามารถในการเรียนรู้ต่อเนื่อง (Learning Ability) การทำงานร่วมกับมนุษย์และ Agent อื่น (Sociality) และการทำงานข้ามแพลตฟอร์ม (Mobility)
“Agentic AI ไม่ได้เป็นเพียงผู้ช่วย แต่เปรียบเสมือนเพื่อนร่วมงานอัจฉริยะที่สามารถเป็นได้ทั้งเชฟ โค้ช ผู้ประสานงาน และผู้จัดการโครงการ ที่ดูแลให้งานสำเร็จลุล่วงได้ด้วยตนเอง” ดร.ทัดพงศ์ กล่าว
กรณีศึกษา KBTG: เมื่อ AI Coding Agent ทำงานแทนโปรแกรมเมอร์
แต่ทฤษฎีทั้งหมดจะไร้ความหมายหากไม่มีกรณีศึกษาที่จับต้องได้ Agentic AI สามารถสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่วัดผลได้จริง เช่น ช่วยลดขั้นตอนการทำงานได้ถึง 40% ลดต้นทุนปฏิบัติการ 15% และเพิ่มยอดขายได้ 20%

KBTG ได้เผยตัวอย่างการพัฒนา AI Coding Agent ภายในองค์กร ซึ่งสามารถรับโจทย์การเขียนโค้ดที่ซับซ้อนและทำงานให้เสร็จสิ้นพร้อมรายงานผลได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที เทียบกับเดิมที่โปรแกรมเมอร์ต้องใช้เวลาเป็นวัน การเปลี่ยนแปลงนี้กำลังจะเปลี่ยนบทบาทของโปรแกรมเมอร์มนุษย์ไปสู่การเป็นโฟร์แมน (Foreman) หรือผู้ควบคุมและบริหารจัดการทีม AI Agent ซึ่งนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของโครงการ “Multi-Agent SDLC” ที่จะสร้างทีม AI สำหรับดูแลกระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์ทั้งระบบในอนาคต ประกอบด้วย Agent ที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น Agent วิเคราะห์ความต้องการ (Requirement Analysis agents) Agent ออกแบบ (Design agents) Agent ทดสอบ (Testing agents) และ Agent นำซอฟต์แวร์ขึ้นระบบ (Deployment agents)
ตำราสำหรับองค์กร: 5 ขั้นตอนสร้างความพร้อมสู่ยุค AI-First
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ต้องอาศัยการเตรียมความพร้อมอย่างเป็นระบบ ดร.ทัดพงศ์ ได้เสนอแนวทาง 5 ประการที่ทุกองค์กรต้องเริ่มทำตั้งแต่วันนี้ โดยการเดินทางนี้ต้องเริ่มต้นจากการตั้งเป้าหมายและวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ว่าจะนำ AI มาใช้เพื่ออะไร ซึ่ง KBTG ได้ตั้งวิสัยทัศน์ “Human-First AI-First Transformation” โดยยึดหลัก “Human-First” ที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลางเสมอ

จากนั้นจึงมุ่งเน้นในส่วนที่สร้างผลกระทบสูง โดยนำ AI ไปใช้ในส่วนที่สร้างคุณค่าให้ธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว เช่น การพัฒนาโซลูชันด้าน Wealth Advisory หรือ Real Time Fraud
ในขณะเดียวกัน การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและข้อมูล ถือเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อสร้างแพลตฟอร์มที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่น เช่น แพลตฟอร์ม AthenaMind ของ KBTG ที่เป็นศูนย์กลางในการบริหารจัดการ Multi-Agent และเชื่อมต่อโมเดลต่าง ๆ ได้อย่างปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม ดร.ทัดพงศ์ย้ำว่าหัวใจที่สำคัญที่สุดคือ การสร้างความร่วมมือข้ามสายงาน โดยนำผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายฝ่ายมาทำงานร่วมกัน ดังเช่นสภา “K-DAI (KBTG Democratization of AI) Council” ของ KBTG ที่ทำหน้าที่กำกับดูแลตั้งแต่กลยุทธ์ ธรรมาภิบาล ไปจนถึงการบริหารความเสี่ยง และท้ายที่สุด การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดต้องถูก
วัดผลความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านตัวชี้วัดที่ชัดเจนทั้งในมิติของธุรกิจ, ขีดความสามารถ และบุคลากร ดังตัวอย่างความสำเร็จของ KBTG ที่สามารถพัฒนา “THaLLE” ซึ่งเป็น LLM การเงินภาษาไทยจนสอบผ่าน CFA Level II และผลักดันโครงการ “AI Literacy for All” จนสำเร็จ 100%
ดร.ทัดพงศ์ ปิดท้ายว่า “การมาถึงของ Agentic AI ทำให้เรารู้สึกเหมือนกลับมาสู่วันแรกอีกครั้ง ไม่มีใครเป็นผู้เชี่ยวชาญ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่ทุกภาคส่วนต้องถ่อมตน คล่องตัว และร่วมมือกัน เพื่อนำพาองค์กรและประเทศให้สามารถคว้าโอกาสและเติบโตไปกับคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์นี้ได้อย่างยั่งยืน”
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
‘เศรษฐกิจหมุนเวียน’ ไม่ใช่ทางเลือกแต่คือทางรอดของธุรกิจและโลก
สวนลอยฟ้าแห่งอนาคตบน ‘ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค’ ปอดผืนใหม่ใจกลางกรุงที่เชื่อมโลกและธรรมชาติ
เปิดกลยุทธ์ SEO ในยุค AI ทางรอด ไม่ใช่ ‘คีย์เวิร์ด’ แต่คือ ‘ความจริงใจ’