Share on
×

Share

รพ.วิมุตพลิกเกมสู่ ‘Tertiary Care’ เจาะตลาดโรคซับซ้อนด้วยโมเดล ‘Health to Home’

โรงพยาบาลวิมุต ประกาศเดินหน้าเต็มกำลังสู่การเป็นโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ (Tertiary Care) ที่เชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคซับซ้อน เปิดตัว “ศูนย์หัวใจและหลอดเลือด” อย่างเป็นทางการ พร้อมกางแผนยุทธศาสตร์ระยะยาว ทุ่มลงทุนเปิดศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ (Center of Excellence) อย่างต่อเนื่อง ตั้งเป้าปั้นรายได้เติบโต 30% ในปีนี้ แม้เผชิญความท้าทายจากปัจจัยเศรษฐกิจและตลาดต่างชาติที่ชะลอตัว

ปักหมุด‘ศูนย์ความเป็นเลิศ’ (Center of Excellence) โรคซับซ้อน

นพ.นิพัฒน์ กุหลาบขาว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลวิมุต โฮลดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า ทิศทางของโรงพยาบาลวิมุตคือการสร้างความแตกต่างจากโรงพยาบาลทั่วไป โดยมุ่งเน้นการเป็นผู้นำด้านการดูแลสุขภาพแบบเฉพาะบุคคล (Personalized Care) ผ่านการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อยกระดับสู่การเป็นโรงพยาบาลที่รับดูแลรักษาโรคยากและซับซ้อนโดยเฉพาะ

“เรากำลังพยายามสร้างวิมุตให้แตกต่างจากโรงพยาบาล General ทั่วไป แผนในปีนี้เราจะเปิด 3 ศูนย์หลัก คือ ศูนย์โรคปอด ที่เปิดไปแล้ว ศูนย์หัวใจในวันนี้ และศูนย์กระดูกและข้อ ส่วนปีหน้าได้วางแผนสำหรับศูนย์มะเร็งเต้านม, ศูนย์สูตินรีเวช ศูนย์สมอง และศูนย์ทางเดินอาหาร” นพ.นิพัฒน์ กล่าว

ยุทธศาสตร์การจัดตั้งศูนย์เฉพาะทางเหล่านี้ถูกขับเคลื่อนด้วยเป้าหมายที่ชัดเจนในการดึงดูดกลุ่มผู้ป่วยโรคซับซ้อน ซึ่งต้องการความชำนาญและเทคโนโลยีขั้นสูง เป็นกลุ่มเคสที่มีค่าใช้จ่ายในการรักษาสูง (High Ticket Intensity) ซึ่งจะสร้างการเติบโตให้โรงพยาบาลอย่างมีนัยสำคัญ หัวใจสำคัญของความสำเร็จคือการสร้างทีมแพทย์ที่แข็งแกร่ง โดยได้เชิญทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันการแพทย์ชั้นนำของประเทศมาร่วมทีม เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผู้ป่วยจะได้รับการดูแลอย่างครบวงจร (Comprehensive Experience) ผ่านทีมสหสาขาวิชาชีพ ที่พร้อมวางแผนการรักษาร่วมกันเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ชูจุดแข็งมัดใจผู้ป่วย: ‘Fast Track’ แม่นยำรวดเร็วในราคาที่เข้าถึงได้

หนึ่งในจุดแข็งที่สำคัญที่สุดของวิมุตคือโมเดลการรักษาแบบ Fast Track ที่เน้นความรวดเร็วและแม่นยำ ซึ่ง นพ.นิพัฒน์ ได้ยกตัวอย่างความสำเร็จจากศูนย์โรคปอดที่เพิ่งเปิดตัวไปว่า “คนไข้เดินเข้ามาเอ็กซเรย์ปอดผิดปกติ เราสามารถส่องกล้อง ตัดชิ้นเนื้อได้ทันที ภายใน 2 วันทราบผลว่าเป็นมะเร็ง และเริ่มกระบวนการรักษาด้วยเคมีบำบัดได้เลย”

ความรวดเร็วนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญ โดยเฉพาะกับโรคที่ซับซ้อนอย่างมะเร็ง ซึ่งหากเป็นโรงพยาบาลอื่น กระบวนการนัดส่องกล้องและรอผลชิ้นเนื้ออาจใช้เวลานานหลายสัปดาห์ แต่ที่วิมุต การเริ่มต้นรักษาได้เร็วขึ้นหมายถึงโอกาสในการฟื้นตัวของผู้ป่วยที่สูงขึ้นด้วย โมเดลนี้จึงสะท้อนถึงศักยภาพของโรงพยาบาลในการมอบประสบการณ์การรักษาที่ครบวงจร รวดเร็ว แม่นยำ และที่สำคัญคืออยู่ในราคาที่เข้าถึงได้ โดยมีการกำหนดราคาที่เหมาะสมสำหรับกลุ่มคนไข้ระดับกลาง ให้สามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพสูงได้ ซึ่งโมเดลนี้จะถูกนำไปใช้เป็นต้นแบบในการพัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศอื่น ๆ ต่อไปในอนาคต

เผชิญความท้าทายทางเศรษฐกิจ: ปรับหมากสู้ศึกรอบด้าน

แม้ภาพรวมธุรกิจจะเติบโตได้ตามเป้า 30% ในครึ่งปีแรก แต่โรงพยาบาลยอมรับว่ามีสัญญาณชะลอตัวในช่วงไตรมาสล่าสุด ซึ่งเป็นผลมาจากความท้าทายหลายมิติ ได้แก่

ปรับกลยุทธ์ตลาดต่างชาติ รับมือความผันผวน ตลาดผู้ป่วยต่างชาติซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 10% ของรายได้ทั้งหมด ได้รับผลกระทบโดยตรง โดยเฉพาะผู้ป่วยจากกัมพูชาที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม โรงพยาบาลได้ปรับกลยุทธ์เชิงรุกโดยหันไปบุกตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูง เช่น พม่า จีน และกลุ่มชาวต่างชาติที่อาศัยในประเทศไทย (Expat) รวมถึงตลาดออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ผ่านพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่งด้านหัตถการความงาม (Cosmetic & Aesthetic) ขณะที่ตลาดยะยาวอย่าง CLMV และบังกลาเทศยังคงเป็นเป้าหมายสำคัญ แม้จะมีความท้าทายเรื่องวีซ่าอยู่ก็ตาม

ความกังวล ‘Co-payment’ ประกันภัย ปัจจัยท้าทายในประเทศ สำหรับตลาดในประเทศ นอกเหนือจากสภาวะเศรษฐกิจแล้ว ยังมีความท้าทายจากกระแสข่าวเรื่อง Co-payment ของบริษัทประกัน ซึ่งแม้จะยังไม่ได้มีผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบ แต่ก็สร้างความกังวลให้แก่ผู้ป่วยและส่งผลต่อการตัดสินใจเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล

ลงทุนอย่างยืดหยุ่นและบริหารต้นทุน เพื่อรับมือกับสภาวะดังกล่าว นพ.นิพัฒน์ เปิดเผยว่า โรงพยาบาลมีแผนการลงทุนที่ยืดหยุ่น โดยไม่จำเป็นต้องซื้อเครื่องมือแพทย์ราคาสูงทุกชิ้น

“เดี๋ยวนี้เราสามารถเช่าเครื่องมือได้ เรามีพาร์ทเนอร์เวนเดอร์ที่พร้อมนำเครื่องมือมาให้เราใช้ก่อน เมื่อเรามีปริมาณคนไข้เพียงพอแล้วจึงค่อยตัดสินใจซื้อ”

กลยุทธ์นี้ทำให้โรงพยาบาลสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพและขยายบริการได้อย่างรวดเร็ว ดังเช่นการเปิดศูนย์หัวใจครั้งนี้ที่สามารถทำได้โดยไม่ต้องลงทุนเครื่องมือใหม่จำนวนมาก เนื่องจากมีการวางแผนและทยอยลงทุนมาตั้งแต่ช่วงเปิดโรงพยาบาลแล้ว

โมเดลเชิงรุก ‘Health to Home’ เจาะฐานลูกบ้านพฤกษาฯสร้างการเติบโต

สำหรับตลาดในประเทศซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่า 90% วิมุตยังคงเน้นกลุ่มลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ ควบคู่ไปกับการใช้ความได้เปรียบจากการเป็นบริษัทในเครือพฤกษา โฮลดิ้ง เดินหน้าโครงการ “Health to Home” ซึ่งเป็นกลยุทธ์การตลาดเชิงรุกที่โดดเด่น โดยโรงพยาบาลจะส่งทีมเข้าไปตรวจสุขภาพและคัดกรองโรคให้กับลูกบ้านพฤกษากว่า 200,000 รายถึงโครงการหมู่บ้าน

โมเดลนี้เป็นมากกว่าแค่การให้บริการ แต่คือการสร้างความสัมพันธ์เชิงรุก โดยทีมแพทย์และบุคลากรจะเข้าไปให้ความรู้ด้านการป้องกันโรคและทำการคัดกรองเบื้องต้นถึงที่พักอาศัย ทำให้สามารถตรวจพบความเสี่ยงได้ตั้งแต่เนิ่นๆ และสร้างความไว้วางใจโดยตรงกับลูกบ้าน การมี “โรงพยาบาลเคลื่อนที่ไปหาถึงบ้าน” นี้ ไม่เพียงสร้างการเข้าถึงบริการที่สะดวกสบาย แต่ยังเป็นการสร้างฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งในระยะยาว และสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งได้อย่างชัดเจน

นายแพทย์สุวาณิช เตรียมชาญชูชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวิมุต
นายแพทย์สุวาณิช เตรียมชาญชูชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวิมุต

ด้าน นายแพทย์สุวาณิช เตรียมชาญชูชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวิมุต ได้กล่าวเสริมถึงหัวใจของการบริการว่า การยกระดับสู่การรักษาโรคซับซ้อนนั้น ต้องมาพร้อมกับการดูแลผู้ป่วยด้วยความเข้าอกเข้าใจ

“สิ่งที่คนไข้โรคหัวใจกลัว เราเข้าใจดี ทีมของเราไม่ได้ดูแลเฉพาะตัวโรค แต่เราดูแลทั้งครอบครัวและสภาพจิตใจของผู้ป่วย เราต้องการรักษาหัวใจ…ด้วยหัวใจ (Heart to Heart) เพื่อให้ผู้ป่วยกลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัวได้อย่างมีความสุขอีกครั้ง”

การเปิดตัวศูนย์หัวใจและหลอดเลือดในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของโรงพยาบาลวิมุตในการตอกย้ำวิสัยทัศน์ที่จะเป็นโรงพยาบาลชั้นนำด้านการรักษาโรคซับซ้อน ภายใต้แนวคิด “Heart to Heart” ดูแลหัวใจ…ด้วยหัวใจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้ป่วยต่อไป

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

โรคหัวใจในคนรุ่นใหม่ ภัยเงียบใกล้ตัว รพ.วิมุตชูเทคโนโลยีรักษาครบวงจร

SIAM1928 เปิดตัวน้ำหอมคอลเลคชันใหม่ ‘จตุมหาราชิกา’ ปรุงกลิ่นไทยขจรไกลทั่วโลก

×

Share

ผู้เขียน