Share on
×

Share

เขย่าวงการสินเชื่อ! Senior Com ชู H-Meter Capital รับมือพ.ร.ฎ. คุมหนี้เสีย

ใกล้เข้ามาทุกขณะสำหรับเส้นตายวันที่ 2 ธันวาคม 2568 จุดเปลี่ยนครั้งประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมสินเชื่อเช่าซื้อและลิสซิ่งไทย เมื่อพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ฉบับใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเข้าบังคับใช้เต็มรูปแบบ เปลี่ยนเกมจาก “การขอความร่วมมือ” สู่ “การบังคับ” อย่างสิ้นเชิง ผู้ให้บริการกว่า 1,000 รายทั่วประเทศจึงถูกบีบให้ต้องยกเครื่องธุรกิจสู่มาตรฐานใหม่ที่โปร่งใสและเป็นธรรม เพื่อหลีกเลี่ยงบทลงโทษรุนแรงทั้งโทษปรับสูงสุด 1 ล้านบาทและโทษจำคุก ซึ่งทั้งหมดนี้มีเบื้องหลังมาจากความพยายามของภาครัฐในการ “เช็คบิล” วิกฤติหนี้ครัวเรือนที่กัดกินเสถียรภาพเศรษฐกิจของชาติ

ท่ามกลางความท้าทายครั้งใหญ่นี้ บริษัท ซีเนียร์คอม จำกัด (Senior Com) ซอฟต์แวร์เฮ้าส์สัญชาติไทยที่คร่ำหวอดในวงการการเงินมากว่า 33 ปี ได้ก้าวขึ้นมาเสนอทางรอด ด้วยการเปิดตัว “H-Meter Capital” แพลตฟอร์มบริหารจัดการสินเชื่อครบวงจรที่เปรียบเสมือนอาวุธสำคัญสำหรับผู้ประกอบการยุคใหม่

ภายใต้การนำทัพของสองผู้บริหารหญิง สุพิชชา อึงอารี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ สุพนิต อึงอารี ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ ที่พร้อมจะนำพาอุตสาหกรรมฝ่าคลื่นลมแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไปอย่างมั่นคง

วิกฤติหนี้: ทำไมธปท. ต้องเช็คบิล

สุพนิตชี้ให้เห็นถึงต้นตอของปัญหาหนี้ครัวเรือนในไทยว่ามีรากฐานมาจาก 2 ปัจจัยหลักที่ทำงานประสานกันจนกลายเป็นความเสี่ยงระดับมหภาค ปัจจัยแรกคือ กับดักทางการเงินจาก “ความตระหนักรู้ที่ไม่สมบูรณ์” ของผู้กู้ หลายคนคิดว่าตนเองทราบแค่ค่างวดและอัตราดอกเบี้ยก็เพียงพอ แต่กลับละเลยเงื่อนไขปลีกย่อยที่ซ่อนอยู่ในสัญญาซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญที่สร้างภาระหนี้สินเกินคาด ไม่ว่าจะเป็นข้อบังคับการซ่อมบำรุงที่จำกัดเฉพาะศูนย์บริการที่กำหนด ความเสี่ยงจากการถูกยึดทรัพย์สินไปขายทอดตลาดแล้วยังต้องรับผิดชอบหนี้ส่วนต่างที่เหลืออยู่ หรือแม้กระทั่งการเสียสิทธิ์ในผลประโยชน์ค่าประกันภัยและบริการเสริมที่จ่ายไปแล้วเมื่อผิดนัดชำระ และที่สำคัญคือการไม่ทราบสิทธิ์ในการได้รับส่วนลดดอกเบี้ยกรณีต้องการปิดบัญชีก่อนกำหนด ทั้งหมดนี้นำไปสู่การมีชื่อติดแบล็กลิสต์โดยไม่รู้ตัวและภาระหนี้ที่สูงเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้

สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนขึ้นจากปัจจัยภายนอกที่บีบคั้น โดยเฉพาะโครงสร้างเศรษฐกิจที่รายได้เฉลี่ยของคนไทยจากข้อมูลประกันสังคมอยู่ที่เพียง 9,000-11,000 บาทต่อเดือน ซึ่งเติบโตช้าสวนทางกับค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อรายได้ไม่พอรายจ่าย ประชาชนจึงหันไปพึ่งพาสินเชื่อมากขึ้น ประกอบกับโครงสร้างหนี้ที่เข้าถึงง่ายทั้งในระบบที่มีโปรโมชันเร่งการตัดสินใจ และนอกระบบที่แม้ดอกเบี้ยจะสูงผิดปกติแต่เป็นทางออกสำหรับกลุ่มอาชีพอิสระที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ เมื่อรวมกับแรงกระตุ้นจากสื่อโซเชียลที่สร้างค่านิยมการบริโภค ยิ่งทำให้การก่อหนี้กลายเป็นทางออกที่ง่ายที่สุด

เมื่อสองปัจจัยนี้รวมกัน ผลลัพธ์คือสัดส่วนหนี้ครัวเรือนของไทยที่เคยพุ่งสูงสุดถึงกว่า 90% ของ GDP ซึ่งสูงกว่าระดับที่เหมาะสมสำหรับประเทศกำลังพัฒนาที่ควรจะอยู่ที่ 50-60% อย่างมาก

สุพนิตยกตัวอย่างให้เห็นภาพว่า “สมมติว่าท่านได้เงินเดือน 10,000 บาท แต่ต้องผ่อนชำระหนี้สินไปแล้ว 7,000 บาท ท่านจะเหลือเงินใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเพียง 3,000 บาท หรือเฉลี่ยแค่วันละ 100 บาทเท่านั้น” เมื่อกำลังซื้อของคนส่วนใหญ่ลดลง เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจก็จะน้อยลง ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ทำให้ธุรกิจรายย่อยขาดสภาพคล่อง นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น และอาจนำไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจในวงกว้างได้ในที่สุด

... เช่าซื้อ: กฎกติกาใหม่ที่ทุกคนต้องเล่นตาม

ด้วยเหตุนี้ ธปท. จึงต้องเข้ามาควบคุม โดยพุ่งเป้าไปที่สินเชื่อเช่าซื้อและลิสซิ่งซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 1.6 ล้านล้านบาท หรือกว่า 10% ของหนี้ทั้งหมด โดย 1 ใน 3 ของมูลค่านี้ถูกปล่อยโดยกลุ่ม Non-Bank ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของ พ.ร.ฎ. ฉบับนี้

การเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์นี้คือการดึงธุรกิจเช่าซื้อและลิสซิ่งเข้ามาอยู่ภายใต้ พ.ร.บ. ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551 ซึ่งให้อำนาจ ธปท. ในการกำกับดูแลโดยตรงอย่างเต็มรูปแบบ สาระสำคัญของกฎหมายใหม่คือการสร้างมาตรฐานที่ชัดเจน โดยผู้ประกอบการมีหน้าที่ต้อง 1) รายงานตัว ต่อ ธปท. ภายในวันที่ 2 ธันวาคม 2568 2) ปฏิบัติตามข้อกำหนด อย่างเคร่งครัด ทั้งการแสดงข้อมูล การทำบัญชี และการเก็บรักษาข้อมูล และ 3) ส่งรายงาน การประกอบธุรกิจต่อ ธปท. ทุกเดือน โดย ธปท. จะมีอำนาจกำหนดหลักเกณฑ์ในเรื่องสำคัญต่าง ๆ เช่น อัตราดอกเบี้ย ค่าบริการ เบี้ยปรับ และเงินมัดจำ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ป้องกันการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเกินจริง และบังคับให้ผู้ประกอบการต้องเปิดเผยข้อมูลการคำนวณและรายละเอียดทั้งหมดให้ผู้บริโภคทราบอย่างชัดเจน หากไม่ปฏิบัติตามจะมีบทลงโทษที่รุนแรงครอบคลุมทั้งตัวบริษัทและผู้บริหาร

จุดเด่นที่แตกต่าง: ทำไมต้อง Senior Com และ H-Meter Capital

สุพิชชาย้ำว่าความพร้อมของ Senior Com ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่เกิดจากการสั่งสมประสบการณ์และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในอุตสาหกรรมนี้มากว่า 33 ปี บริษัทไม่ได้เริ่มต้นจากการเป็นเพียงบริษัทเทคโนโลยี แต่เติบโตมาจากธุรกิจครอบครัวที่เป็นตัวแทนจำหน่ายรถมอเตอร์ไซค์ จึงเข้าใจถึง Pain Point ของผู้ประกอบการตั้งแต่ระดับรากหญ้า และได้พิสูจน์ตัวเองจากการพัฒนาซอฟต์แวร์รองรับกฎเกณฑ์สินเชื่อส่วนบุคคลของธปท. จนประสบความสำเร็จและได้รับความไว้วางใจจากผู้เล่นรายใหญ่อย่าง S Leasing (กลุ่มศรีสวัสดิ์) และ SG Capital (กลุ่ม Jaymart) ปัจจุบันแพลตฟอร์มของบริษัทบริหารพอร์ตหนี้รวมกว่า 10,000 ล้านบาท และรองรับธุรกรรมมากกว่า 5 ล้านรายการต่อเดือน

จากประสบการณ์และความสำเร็จนี้ ได้ถูกตกผลึกมาเป็น H-Meter Capital ซึ่งมีความโดดเด่นในฐานะโซลูชันครบวงจร (End-to-End) ที่ครอบคลุมทุกกระบวนการตั้งแต่การยืนยันตัวตน ประเมินความเสี่ยง ออกสัญญา รับชำระ ติดตามหนี้ ไปจนถึงการปิดบัญชี โดยไม่ต้องพึ่งพาซอฟต์แวร์หลายตัวให้วุ่นวาย

จุดเด่นที่สำคัญที่สุดคือความสามารถในการอนุมัติสินเชื่อที่เร็วที่สุดใน 5 นาที ด้วยระบบ Pre-screening และ Scoring อัตโนมัติ ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้อย่างก้าวกระโดดจากมาตรฐานอุตสาหกรรมเดิมที่ใช้เวลา 15-30 นาที ทั้งยังเป็นแพลตฟอร์มที่พร้อมรับกฎหมายใหม่ (BOT Compliance) สามารถตั้งค่าอัตราดอกเบี้ยและค่าปรับต่าง ๆ ให้เป็นไปตามกฎหมายได้อย่างแม่นยำ พร้อมนำส่งรายงานให้ ธปท. ได้ทันที ทั้งหมดนี้ทำงานบนเทคโนโลยีระดับสากลอย่าง eKYC และ NDID ที่เชื่อมต่อกับฐานข้อมูลภาครัฐเพื่อความปลอดภัยและความแม่นยำสูงสุด

ประโยชน์ที่จับต้องได้สำหรับทุกฝ่าย

การนำแพลตฟอร์ม H-Meter Capital มาใช้ ไม่เพียงแต่เป็นการปรับตัวให้เข้ากับกฎหมาย แต่ยังเป็นการสร้างคุณค่าร่วมให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในระบบนิเวศสินเชื่ออย่างเป็นรูปธรรม สำหรับ ผู้บริโภค (ผู้กู้) จะได้รับความคุ้มครองและความเป็นธรรมสูงสุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ระบบจะสร้างสัญญาที่มีรายละเอียดชัดเจน โปร่งใส ตรวจสอบได้ ทำให้ผู้กู้เข้าใจภาระผูกพันทั้งหมดก่อนตัดสินใจ

นอกจากนี้ ยังมีระบบแจ้งเตือนก่อนถึงกำหนดชำระผ่านหลากหลายช่องทาง ทั้ง SMS, LINE, Email หรือแม้กระทั่งจดหมาย ช่วยลดโอกาสการผิดนัดชำระโดยไม่ตั้งใจ และจุดเด่นที่สำคัญที่สุดคือ ระบบจะคำนวณและบังคับใช้สิทธิ์ในการรับส่วนลดดอกเบี้ยกรณีปิดบัญชีก่อนกำหนดตามเกณฑ์ขั้นบันไดของภาครัฐโดยอัตโนมัติ ซึ่งหากชำระค่างวดมาแล้วเกิน 2 ใน 3 ของสัญญา จะได้รับส่วนลดดอกเบี้ยที่เหลือทั้งหมด 100% ทำให้ผู้บริโภคได้รับผลประโยชน์ที่พึงมีอย่างครบถ้วน

ด้านผู้ให้บริการสินเชื่อรายย่อยจะสามารถแข่งขันในตลาดที่มีกฎระเบียบเข้มข้นขึ้นได้อย่างทัดเทียม แพลตฟอร์มนี้เป็นเหมือนทางลัดสู่การทำธุรกิจอย่างมืออาชีพในรูปแบบ Software as a Service (SaaS) ที่ช่วยลดต้นทุนมหาศาลในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและทีมพัฒนาซอฟต์แวร์เอง ทำให้สามารถเริ่มต้นหรือปรับเปลี่ยนธุรกิจให้สอดคล้องกับกฎหมายใหม่ได้อย่างรวดเร็ว (Speed to Market) ด้วยค่าใช้จ่ายตามการใช้งานจริง (Subscription-based) พร้อมความยืดหยุ่นในการขยายระบบ (Scalability) เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต

ขณะที่ผู้ให้บริการสินเชื่อรายใหญ่ ซึ่งมักเผชิญกับความท้าทายจากระบบเดิมที่ล้าสมัยและซับซ้อน จะได้รับประโยชน์จากการลดความเสี่ยงในการย้ายข้อมูล (Migration) ทีมงานของ Senior Com จะเข้ามาช่วยวางแผนและดำเนินการย้ายข้อมูลได้อย่างราบรื่นโดยไม่กระทบการทำงานประจำของพนักงาน

นอกจากนี้ ระบบยังถูกออกแบบมาเพื่อจัดการความซับซ้อนขององค์กรขนาดใหญ่ พร้อมกันนี้ ทีมที่ปรึกษาของ Senior Com ยังนำประสบการณ์จากลูกค้าหลายรายมาให้คำแนะนำ (Best Practice) เพื่อปรับปรุงกระบวนการทำงานภายในให้มีประสิทธิภาพและลีนที่สุด

กลยุทธ์และเป้าหมาย: ปักธงตลาดไทยสู่เวทีสากล

จากโอกาสที่ พ.ร.ฎ. ใหม่สร้างขึ้น Senior Com ได้วางเป้าหมายและกลยุทธ์ทางการตลาดที่ชัดเจน โดยมองว่าตลาดผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อในไทยที่มีอยู่ราว 500-1,000 ราย คือเป้าหมายหลัก และตั้งเป้าที่จะเข้าไปครอง ส่วนแบ่งตลาดให้ได้ถึง 50% ภายในหนึ่งปีหลังกฎหมายมีผลบังคับใช้ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการเติบโตของบริษัทที่คาดการณ์ไว้อย่างน้อย 20% ในปีหน้า

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว บริษัทจะใช้กลยุทธ์แบบสองขา โดยจะเร่งเจาะกลุ่มผู้ให้บริการรายย่อยภายในปีนี้ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องการโซลูชันที่คุ้มค่าและพร้อมใช้งานทันทีเพื่อปรับตัวให้ทันตามกฎหมาย ขณะเดียวกันจะเดินหน้าเจาะกลุ่มผู้ให้บริการรายใหญ่ในปีถัดไป โดยเน้นการให้คำปรึกษาเพื่อย้ายจากระบบเดิมที่ซับซ้อนมาสู่แพลตฟอร์มใหม่ที่ยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพสูงกว่า

นอกจากการเติบโตในตลาดปัจจุบัน Senior Com ยังมีแผนที่จะต่อยอดความสำเร็จของ H-Meter Capital ไปยังสินเชื่อประเภทอื่น ๆ ที่มีแนวโน้มเติบโตสูง เช่น สินเชื่อเพื่อซื้อโทรศัพท์มือถือ (Phone Financing) สินเชื่อเพื่อการเกษตร สินเชื่อบ้านสำหรับกลุ่ม Non-Bank และเครื่องใช้ไฟฟ้า ควบคู่ไปกับการพัฒนาเทคโนโลยีในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการใช้ระบบตรวจสอบสลิปการชำระเงินอัตโนมัติเพื่อลดงานเอกสาร และการนำ AI เข้ามาช่วยประเมินและมอบหมายงานติดตามหนี้ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

ทั้งหมดนี้คือการเตรียมความพร้อมสำหรับแผนการขยายธุรกิจสู่ ตลาดต่างประเทศภายใน 3-5 ปี โดยมองหาพันธมิตรระดับภูมิภาคหรือระดับโลก เพื่อให้สามารถขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีทางการเงินของไทยอย่างแท้จริง

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

COBE ลาดพร้าว-สุทธิสาร คอนโดใหม่ SC Asset เพื่อ New Gen ราคาเริ่ม 1.89 ล้าน

เทรนด์ผู้บริโภค Gleamers: เมื่อ ‘การเล่น’ และ ‘ความสุข’ กำหนดอนาคตการตลาด

×

Share

ผู้เขียน