คดี ‘ดิไอคอนกรุ๊ป’ ซับซ้อนซ่อนเงื่อน จนถึงวันนี้ยังไม่อาจฟันธงแบบ 100% ว่าเป็นธุรกิจขายตรงล้วน ๆ หรือแชร์ลูกโซ่ที่มีการพัฒนารูปแบบ หรือเป็นลูกผสมระหว่างขายตรงกับแชร์ลูกโซ่ กันแน่
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง แบ่งการทำธุรกิจขายตรง ออกเป็น 3 ประเภทประเภทแรก คือ” “ธุรกิจขายตรงแบบสีขาว” เป็นการทำธุรกิจขายตรงแบบถูกกฎหมาย 100% ประเภทที่สอง “ธุรกิจขายตรงสีดำ “เป็นธุรกิจผิดกฎหมายทำขายตรงแบบแชร์ลูกโซ่ล้วน ๆ
ประเภทสุดท้าย ”ธุรกิจขายตรงสีเทา” เป็นบริษัทขายตรงที่จดทะเบียนถูกต้อง ทำตามแผนการตลาดที่ได้รับอนุญาต แต่ภายหลังมากลายพันธุ์เปลี่ยนเป็นจ่ายผลตอบแทนแบบแชร์ลูกโซ่ รูปแบบนี้เรียกว่าเป็นธุรกิจขายตรงมีการแอบแฝงแบบแชร์ลูกโซ่
กรณีดิไอคอนกรุ๊ป แรก ๆ เริ่มด้วยการจ่ายเงินให้สมาชิกซื้อคอร์สออนไลน์เพื่อเทรนด์ทักษะการขาย จากนั้นก็เริ่มนำเสนอตัวอย่างบุคคลที่ประสบความสำเร็จ เป็นการโน้มน้าวให้เห็นว่าคนที่ประสบความสำเร็จเขาทำอย่างไร สร้างความน่าเชื่อถือจนคนที่เข้าอบรมหลงเชื่อ ส่วนการหาสมาชิกจะผ่านช่องทางส่วนตัวทั้งไลน์และเฟสบุ๊ค มีดาราหรือคนดังที่คนนับถือมาช่วยโปรโมตเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
จะเห็นว่ารูปแบบธุรกิจของ ดิไอคอนกรุ๊ป มีการผสมผสานทั้งเรื่องการใช้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ชเพื่อขายสินค้า ใช้ทั้งดารา คนดัง สร้างความน่าเชื่อถือ และใช้โซเชียลมีเดียทุกรูปแบบ ขยายผลให้เกิดการรับรู้ในวงกว้าง จะเห็นว่าการหลอกลวงของแชร์ลูกโซ่มีพัฒนาการที่ซับซ้อนมากขึ้น ไม่ใช่แบบปากต่อปากแบบแชร์ลูกโซ่แบบในอดีต
หากพลิกตำนาน ‘แชร์ลูกโซ่’ ที่สร้างความเสียหายให้กับเหยื่อจำนวนมหาศาล ใคร ๆ ต้องรู้จัก ‘แชร์แม่ชม้อย’ หรือ ‘แชร์น้ำมัน’ เกิดเมื่อราว 40 ปีที่แล้ว โดยอ้างว่านำเงินไปลงทุนในองค์การน้ำมันเชื้อเพลิง รับปากจะให้ผลตอบแทนสูงเป็นรายเดือน รวมเป็นเงินทั้งสิ้นกว่า 4.5 พันล้านบาทเป็นยอดเงินที่สูงมากในยุคสมัยนั้น
ในห้วงเวลานั้น นอกจากแชร์แม่ชม้อยแล้วยังมี ‘แชร์แม่นกแก้ว และแชร์ชาร์เตอร์’ ซึ่งแชร์แม่นกแก้ว สร้างความเสียหาย 1,977 ล้านบาท แต่ที่ดังมาก ๆ คือ ‘แชร์ชาร์เตอร์’ ใช้วิธีชวนเก็งกำไรสินค้าโภคภัณฑ์ และเงินตราต่างประเทศ อ้างได้รับผลตอบแทน 9% ต่อเดือน หรือ 10% ต่อปี สร้างความเสียหายไม่ต่ำกว่า 5 พันล้านบาท
ระยะเวลาใกล้ ๆ กัน ในธุรกิจบ้านจัดสรรโครงการเสมาฟ้าครามก็มี ‘แชร์เสมาฟ้าคราม’ เป็นโครงการบ้านจัดสรรราคาถูก ซึ่งไม่สามารถกู้แบงก์ได้ ก็ใช้วิธีระดมเงินทุนนอกระบบ ผู้ที่เข้าร่วมแชร์จะได้รับผลตอบแทนสูงถึงเดือนละ 12.5% หรือ 150% ต่อปีแต่สุดท้ายคนลงทุนก็โดนหลอก
ต่อมารูปแบบแชร์ลูกโซ่มีความซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกรณีของ ‘แชร์บลิชเชอร์’ ได้พัฒนามาเป็นการขายสมาชิก โดยเรียกรูปแบบนี้ว่า ‘ขายตรงหลายชั้น’ ประชาชนที่มาสมัครต้องจ่ายเงินหลายหมื่นบาท เพื่อเป็นสมาชิกท่องเที่ยวทั่วประเทศ คนที่ชักชวนมาสมัครจะได้ค่านายหน้า 20-45% สุดท้ายก็ไปไม่รอด
เมื่อ 5 ปีที่แล้วก็มีแชร์แม่มณี เป็นโปรเจ็กต์ออมเงินชื่อว่า ‘ฝากเงิน ออมเงิน by บัญชีแม่มณี’ แล้วชักชวนคนอื่น ๆ มาร่วมฝากเงินเป็นการลงทุน วงละ 1,000 บาทจะได้รับผลกำไรกลับคืนเป็นเงิน 930 บาท หรือ คิดเป็นดอกเบี้ย 93% ในเดือนต่อมา ช่วงแรกได้เงินต้นและดอกเบี้ยคืนจริง แต่เมื่อทุ่มเงินลงทุนมากขึ้นกลับไม่ได้รับเงินคืน วงเงินความเสียหายสูงกว่า 1,300 ล้านบาท
หลังๆมีแชร์ลูกโซ่ที่แชร์ลูกโซ่ยุคใหม่ เช่นแชร์ยูฟันด์หลอกลงทุนเงินดิจิทัลที่ไม่มีกฏหมายรองรับที่เรียกว่า ‘ยูโทเคน’ หรือกรณีของ แชร์ ‘Forex 3D’ ใช้โมเดล ‘เทรดเดอร์’ ชวนประชาชนลงทุนใน Forex อ้างได้ผลตอบแทน 10-15% ต่อเดือน หากแนะนำคนมาลงทุนต่อได้ค่านายหน้า 5% ต่อคน ช่วงนี้เริ่มมีเหล่าดารา ศิลปิน บรรดาคนมีชื่อเสียงเข้ามาร่วมชักชวนให้คนลงทุน กรณี Forex 3D มีวงเงินสูงถึง 40,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ‘แชร์ลูกโซ่’ ได้มีพัฒนาการ ที่แฝงตัวในการทำ ‘ธุรกิจขายตรง’ ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัท ที่ทำธุรกิจขายสินค้าเสริมความงาม อาหารเสริม เช่นบริษัทหนึ่ง จัดนำเที่ยวต่างประเทศ โดยกลุ่มผู้เสียหายจะต้องจ่ายเงินเป็นค่าซื้อสินค้าราว 10,000-15,000 บาทต่อคน ในที่สุดเรื่องมาแดงตอนที่กลุ่มผู้เสียหายตกค้างอยู่ที่สนามบินนับพันคน
ทั้งหมดนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่ง กรมสอบสวนคดีพิเศษ DSI เคยสำรวจคดีแชร์ลูกโซ่ เมื่อปี 2547-2565 ระบุว่า มีคดีเช่นนี้ในมือดีเอสไอถึง 200 กว่าคดี มีผู้เสียหายรวม 3 แสนกว่าคน มูลค่าความเสียหายมากถึง 1 แสนล้านบาท และขยายวงกว้างไปแทบทุกอาชีพ ตั้งแต่ชาวบ้าน ไปจนถึงนักวิชาการ นักกฎหมาย นักบิน นักบัญชี แพทย์ วิศวกร
จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในธุรกิจแชร์ลูกโซ่ตั้งแต่อดีตจนถึงคดี ดิไอคอนกรุ๊ป ล้วนเกิดจาก ‘ความโลภของคน’ มักจะเกิดขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจในประเทศไม่ดี คนหากินลำบาก อยากรวยทางลัด
อีกทั้ง ค่านิยมของสังคมไทยที่ยกย่องคนรวยมีฐานะทำให้ใครๆก็อยากรวย เฉพาะอย่างยิ่งคนไทย ไม่ศึกษาหาความรู้ แต่มักจะหลงเชื่อคำพูดคนที่ตนเชื่อถือ จึงไม่แปลกใจที่แชร์ลูกโซ่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มักจะมีผู้มีอำนาจ คนน่าเชื่อถือ เช่น ดารา ข้าราชการระดับสูงเข้ามาเกี่ยวข้อง
ที่สำคัญคนที่ทำธุรกิจแชร์ลูกโซ่นี้มีจิตวิตยาสูงจับจุดอ่อนคนไทยถูก โดยเฉพาะเรื่อง ‘ผลตอบแทน’ ที่จ่ายค่อนข้างสูง และพยายามตอกย้ำสร้างการรับรู้ว่า การทำธุรกิจแบบนี้ไม่มีความเสี่ยงหรือเสี่ยงน้อยกำไรเยอะ ในเวลาสั้น ๆ ยิ่งล่อใจ
ตราบใดที่คนไทยยังมีความโลภ แชร์ลูกโซ่คงไม่ตายไปจากสังคมไทยในอนาคตคงจะมีให้เห็นเรื่อย ๆ
บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน