Share on
×

Share

DeepSeek: การปฏิวัติ AI มูลค่า 5 ล้านดอลลาร์ หรือแค่ภาพลวงตาจากจีน?

ในโลกเทคโนโลยีที่เต็มไปด้วยการแข่งขันและนวัตกรรม กำลังเกิดกระแสฮือฮาเกี่ยวกับ DeepSeek สตาร์ตอัพ AI จากจีน ที่อ้างว่าได้สร้างโมเดลที่ทัดเทียมกับ OpenAI ในราคาเพียง 3% ของต้นทุน แต่นี่คือเรื่องจริงหรือเป็นแค่ภาพลวงตาอันแยบคาย? ขณะที่ตลาดเทคโนโลยีตกใจและทำให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงแรง เรื่องราวที่มืดมนเริ่มเผยตัว—บ่งชี้ว่า “ความก้าวหน้ามหัศจรรย์” ของ DeepSeek อาจจะถูกสร้างขึ้นจากเทคโนโลยีต้องห้าม ต้นทุนที่ซ่อนเร้น และการปกปิดข้อมูลสำคัญ

การเดินทางของ DeepSeek

การเดินทางของ DeepSeek เริ่มต้นจากการเปิดตัว DeepSeek Coder ในเดือนพฤศจิกายน 2566 ซึ่งเป็นโมเดลโอเพ่นซอร์สที่ออกแบบมาสำหรับงานเขียนโค้ด ต่อมาได้มีการเปิดตัว DeepSeek LLM ซึ่งเป็นโมเดลที่มีพารามิเตอร์ 6.7 หมื่นล้านตัว โดยมีเป้าหมายเพื่อแข่งขันกับโมเดลภาษาขนาดใหญ่ตัวอื่น ๆ หลังจากนั้นในเดือนพฤษภาคม 2567 DeepSeek-V2 ได้รับความสนใจอย่างมากจากการแสดงผลที่แข็งแกร่งและต้นทุนที่ต่ำ ซึ่งกระตุ้นให้เกิดสงครามราคาภายในตลาดโมเดล AI ของจีน กลยุทธ์การตั้งราคาที่ทำลายล้างนี้บังคับให้ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีของจีน เช่น ByteDance, Tencent, Baidu และ Alibaba ต้องลดราคาของโมเดล AI ของตนลงเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน

DeepSeek-V2 ได้รับการสืบทอดโดย DeepSeek-Coder-V2 ซึ่งเป็นโมเดลที่มีความก้าวหน้ามากขึ้น โดยมีพารามิเตอร์ถึง 2.36 แสนล้านตัว ออกแบบมาเพื่อท้าทายงานเขียนโค้ดที่ซับซ้อนและมีความยาวบริบทสูงสุดถึง 128,000 โทเค็น โมเดลนี้สามารถใช้งานได้ผ่าน API ที่มีราคาประหยัด โดยมีราคาที่ $0.14 ต่อหนึ่งล้านโทเค็นในการป้อนข้อมูล และ $0.28 ต่อหนึ่งล้านโทเค็นในการส่งออกข้อมูล

โมเดลล่าสุดของบริษัทคือ DeepSeek-V3 และ DeepSeek-R1 ได้ตอกย้ำสถานะของบริษัทในฐานะแรงขับเคลื่อนที่ทำลายอุตสาหกรรม ทั้งนี้ DeepSeek-V3 เป็นโมเดลที่มีพารามิเตอร์ 6.71 แสนล้านตัว ซึ่งแสดงผลที่น่าประทับใจในหลาย ๆ เกณฑ์การทดสอบ ในขณะที่ต้องการทรัพยากรน้อยกว่าคู่แข่งอย่างมีนัยสำคัญ ส่วน DeepSeek-R1 ที่เปิดตัวในเดือนมกราคม 2568 เน้นที่งานการให้เหตุผล และท้าทายโมเดล O1 ของ OpenAI ด้วยความสามารถที่ล้ำหน้า

นิทานเรื่อง 6 ล้านดอลลาร์: ความจริงหรือแค่การโฆษณา?

คำอ้างของ DeepSeek ที่ว่าพวกเขาสามารถพัฒนาโมเดล “R1” ได้ด้วยเงินเพียง 5.6 ล้านดอลลาร์—ในขณะที่ OpenAI ใช้เงิน 100 ล้านดอลลาร์สำหรับ GPT-4 ทำให้ดูเหมือนว่าพวกเขาได้ทำลายโมเดลการพัฒนา AI ที่แพงมหาศาลของ Silicon Valley ทิ้งไปในชั่วข้ามคืน แต่เมื่อผู้เชี่ยวชาญในวงการตรวจสอบลึกลงไป กลับพบว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิด

เกวิน เบเคอร์ (Gavin Baker) จาก อเทรดิซ เมเนจเมนท์ (Atreides Management) เปิดเผยว่า DeepSeek ได้ละเว้นค่าใช้จ่ายที่สำคัญหลายประการในการคำนวณต้นทุนการพัฒนา อาทิเช่น “ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยก่อนหน้า การทดสอบสถาปัตยกรรมและอัลกอริธึม” ดังนั้น ตัวเลขที่ DeepSeek อ้างถึงอาจเป็นเพียงแค่ค่าใช้จ่ายในการฝึกสอนขั้นสุดท้าย—ซึ่งทำให้ต้นทุนการพัฒนาจริง ๆ ถูกซ่อนไว้ในเบื้องหลัง

ชิปต้องห้าม: เทคโนโลยีที่ซ่อนเร้น

สิ่งที่ทำให้การกล่าวอ้างของ DeepSeek มีน้ำหนักมากขึ้นคือการกล่าวถึง “ชิป H100” จาก Nvidia ซึ่งเป็นชิปที่ถูกห้ามส่งออกไปยังจีน โดย อเล็กซานเดอร์ หวัง (Alexandr Wang) ซีอีโอของ Scale AI อ้างว่า DeepSeek ได้ครอบครองชิปเหล่านี้ถึง 50,000 ตัว ซึ่งเทียบเท่ากับการเข้าถึงเทคโนโลยีที่ห้ามใช้ในการพัฒนา AI ภายในจีน การกล่าวอ้างนี้ ได้รับการตอกย้ำจาก อีลอน มัสก์ (Elon Musk) จากการที่เขาตอบกลับด้วยคำว่า “ชัดเจน” ต่อข้อกล่าวหานี้ ยิ่งยืนยันให้เห็นว่า DeepSeek อาจไม่ได้ประสบความสำเร็จด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีเองทั้งหมด

การเซ็นเซอร์ที่น่ากลัว

แม้ว่า DeepSeek จะบอกว่าโมเดลของพวกเขามีความสามารถยอดเยี่ยม แต่เมื่อถามถึงหัวข้อที่ละเอียดอ่อน เช่น “จตุรัสเทียนอันเหมิน” ผลลัพธ์กลับเป็นการหลบเลี่ยงอย่างเห็นได้ชัด คำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์กลับถูกตอบด้วยคำว่า “เรามาคุยเรื่องอื่นดีกว่า” นี่คือการเซ็นเซอร์ที่ฝังอยู่ในระบบของ DeepSeek ซึ่งสร้างคำถามใหญ่ที่ว่า หาก DeepSeek กำลังพัฒนา AI ที่ก้าวหน้า ทำไมพวกเขาถึงไม่สามารถรับมือกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ได้?

การพึ่งพา OpenAI: การสร้างสรรค์หรือการดัดแปลง?

สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือการยืนยันจาก เกวิน เบเคอร์ ที่ระบุว่า DeepSeek อาจจะไม่สามารถพัฒนาได้เลยหากไม่มีการเข้าถึง “OpenAI” โมเดลขั้นสูงของสหรัฐฯ สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามว่า DeepSeek อาจไม่ได้สร้างนวัตกรรมใหม่ แต่กลับกำลังใช้วิธีการดัดแปลงเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วอย่างชาญฉลาด—ทำลายการควบคุมการส่งออกในขณะเดียวกันก็อ้างว่าได้ทำลายสถิติเหล่านั้น

Wall Street เริ่มตั้งคำถาม

การตอบสนองในตลาดหลังจากการประกาศของ DeepSeek ค่อนข้างรุนแรง โดยหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐฯ ร่วงลงหลายพันล้านดอลลาร์ นักวิเคราะห์ชั้นนำเริ่มแสดงความสงสัย:

  • สเตซี ราซกอน (Stacy Rasgon) จาก เบิร์นสไตน์ (Bernstein) กล่าวว่า “DeepSeek ไม่ได้ ‘สร้าง OpenAI ด้วยเงิน 5 ล้านดอลลาร์’”
  • โจชัว บัคคัลเตอร์ (Joshua Buchalter) จาก ทีดี โคเวน (TD Cowen) กล่าวว่า นักลงทุนตื่นตระหนกและรีบขายหุ้นออกไปก่อน
  • เอทิฟ มาลิค (Atif Malik) จาก ซิตี้ กรุ้ป (Citigroup) ตั้งข้อสงสัยว่าไม่มี GPU ขั้นสูงที่จะสามารถทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ DeepSeek อ้างถึงได้

หรือนี่เป็นการสร้างภาพลวงตา?

คำถามที่เกิดขึ้นจากข้อกล่าวหาของ DeepSeek คือ พวกเขากำลังสร้างภาพลวงตาของความสำเร็จที่เกินจริงเพื่อทำให้สหรัฐฯ ดูด้อยลงหรือไม่? การเปิดเผยในช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการขึ้นดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีทรัมป์ และการเปิดตัวโครงการ “Stargate Project” มูลค่า 5 แสนล้านดอลลาร์ สร้างความสงสัยว่าอาจเป็นแผนการในการทำลายการพัฒนาเทคโนโลยีของสหรัฐฯ

การตื่นตัวของ Silicon Valley

ผู้นำใน Silicon Valley เริ่มมีการตอบสนองที่ชัดเจน แม้ว่า มาร์ค ซักคเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) จะตั้งทีมวิศวกรรมเพื่อตรวจสอบข้อกล่าวหาของ DeepSeek แต่ เทด มอร์ตันสัน (Ted Mortonson) จาก แบร์ด (Baird) บริษัทด้านการลงทุนสัญชาติอเมริกันก็ได้กล่าวว่า “เรามีวิศวกร AI ที่เก่งที่สุดในโลกในสหรัฐฯ และการบอกว่าไม่มีใครเคยตรวจสอบหรือพัฒนาเรื่องนี้จากแหล่งข้อมูลเปิดเป็นเรื่องที่น่าขัน”

ปัญหาหรือโอกาส?

การเกิดขึ้นของ DeepSeek ทำให้เกิดคำถามใหญ่เกี่ยวกับการควบคุมเทคโนโลยีและความโปร่งใสในการแข่งขัน AI ระดับนานาชาติ หากข้อกล่าวอ้างของ DeepSeek เป็นเรื่องจริง หมายความว่าการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ และการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาอาจล้มเหลวอย่างรุนแรง แต่หากไม่จริง ก็อาจเป็นแค่ความพยายามในการดัดแปลงภาพลวงตาของตลาดเทคโนโลยี

การเกิดขึ้นของ DeepSeek ไม่ควรเป็นแค่ “การปฏิวัติ AI” อย่างที่บางคนอ้าง แต่ควรเป็นการตื่นตัวถึงความจำเป็นในการควบคุมเทคโนโลยีที่โปร่งใสมากขึ้นและการพัฒนา AI ที่สามารถตรวจสอบได้ การแข่งขัน AI ในอนาคตจะไม่เกี่ยวกับแค่ความสามารถทางเทคนิคเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับการมั่นใจได้ว่าความก้าวหน้านั้นมาจากพื้นฐานที่ถูกต้องและยั่งยืน

DeepSeek อาจไม่ใช่แค่การสร้างเทคโนโลยีที่น่าทึ่ง แต่กลับเป็นการตอกย้ำความสำคัญของการตรวจสอบและการพัฒนา AI ที่โปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ คำถามที่ยังค้างคาอยู่คือ พวกเขากำลังสร้างความจริงหรือแค่ภาพลวงตา? แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ชัดคือ DeepSeek ได้สะเทือนความมั่นใจใน Silicon Valley ไปแล้ว

Sources: The Wall Street Journal, Fortune, BBC, Forbes

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ม.เชียงใหม่ ร่วมมือกับ AWS เปิดตัว ‘Matthew” Gen AI เพื่อการศึกษา

ศึกชิงจ้าว AI: DeepSeek vs. Stargate – 5 ล้านปะทะ 5 แสนล้านดอลลาร์

×

Share

ผู้เขียน