Share on
×

Share

หาเงินมันเหนื่อย เชื่อเถอะ ไม่มีเงินเหนื่อยกว่า

“หาเงินมันเหนื่อย เชื่อเถอะ ไม่มีเงินเหนื่อยกว่า” รู้สึกอย่างไรกับคำพูดนี้ เห็นด้วยหรือ….

ไม่ว่าจะยุคสมัยใหม่ เงินทองยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่สานฝันชีวิตของตน สร้างความสุขความสมบูรณ์ในการดำรงชีวิต เราถูกสอนว่า งานกับเงินเป็นของคู่กัน คำพูดเก่า ๆ ของผู้นำในอดีตจะใช้สโลแกนว่า งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข ให้ตระหนักว่าการทำงานหนักเป็นหนทางในการหาเงิน

แต่…บางคนบอกว่ายุคนี้หาเงินง่าย อาจจะแตกต่างจากคนในยุคก่อน เด็กยุคใหม่ มีการเรียนรู้และเครื่องมือสนับสนุนให้การหาเงินง่ายขึ้น จึงไม่ค่อยอินกับสำนวนคนสมัยหนึ่งที่พูดถึงความยากลำบากในการหาเงิน ว่าไม่ต่างอะไรกับการ “อาบเหงื่อต่างน้ำ”

คนรุ่นใหม่ มีอาชีพใหม่เกิดขึ้นมากมาย มีเครื่องมือที่สะดวกสบายขึ้น ไม่จำกัดเรื่องสถานที่หรือเวลาในการหาเงิน ขอแต่ให้มีความคิดดี ๆ มีวิธีการใหม่ ๆ ก็สามารถสร้างรายได้ที่ต้องการได้ คนรุ่นนี้ใช้เวลาไม่นานก็สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวได้ บางคนอายุอยู่ในช่วง 20-30 ปี ก็มีรายได้มหาศาล มากกว่าคนรุ่นเก่าที่ใช้เวลาค่อนชีวิต ก็ยังไม่มากเท่า แต่..ปัญหาของคนรุ่นนี้ อาจจะแตกต่างจากคนรุ่นอื่น คือ หาง่ายใช้ง่ายเกินไป

แนวคิดจึงแตกต่างกัน ในขณะที่คนรุ่นหนึ่งเงินมันหายาก ต้องสะสมค่อยเป็นค่อยไป ประเภทมีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท กว่าจะงอกงามใช้เวลานับสิบ ๆ ปี ขณะที่การหาเงินในคนอีกกลุ่มหนึ่ง ข้ามสลึงไปเป็นบาทเลย แต่ที่ยากคือ จะใช้สอยอย่างไรเพื่อให้เหลือ คนยุคใหม่จึงเติบโตมากับความรู้สึกที่ อยากซื้ออะไรก็ซื้อ อยากกินอะไรก็กิน คนรุ่นนี้จึงไม่ต้องสำรองหรือเผื่อ ซึ่งอาจจะแตกต่างจากคนรุ่นก่อน ที่กังวลอนาคตที่มาไม่ถึง จึงพยายามเก็บสะสมด้วยความระมัดระวัง

การใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยของคนรุ่นใหม่ ทำให้เกิดการเลียนแบบ แพร่หลายไปยังคนรุ่นเดียวกันที่อาจจะหาได้ไม่มากเท่า ทำให้เกิดการเป็นหนี้เป็นสิน หรือการใช้วิถีชีวิตที่ผิด เช่นเริ่มต้นด้วยการหลอกลวง การพนัน จนสร้างปัญหากันได้มากมายในวันนี้

หลังฟ้าที่มืดมิดก็พลันเริ่มมีแสงสว่าง เมื่อมีการพูดกันในหมู่คนรุ่นใหม่ให้ตระหนักถึงการใช้จ่ายที่มากเกินไป และเริ่มมีแนวคิดเกี่ยวกับการมีกฎเกณฑ์ในการใช้จ่ายกับแนวคิด NO Buy 2025 ซึ่งกำลังเริ่มเป็นเทรนด์ใหม่ตามโซเชียลแพลตฟอร์มต่าง ๆ เปิดโอกาสให้มีการสร้างกฎเกณฑ์ในการใช้จ่ายของตนเอง เช่น งดซื้อเครื่องสำอาง เสื้อผ้า และของตกแต่งบ้าน ขณะเดียวกันให้ความสำคัญกับการจ่ายเงินสำหรับสิ่งที่จำเป็น เช่นค่ารักษาพยาบาล ฯลฯ

โดยเป็นชาเลนจ์ที่ท้าทายตัวเอง งดซื้อของที่ไม่จำเป็น เป็นเวลา 1 เดือน เช่น งดซื้อเสื้อผ้าใหม่ เครื่องสำอาง ของเล่นของสะสม หรือแม้กระทั่งการไปทานอาหารนอกบ้าน เป็นต้น ซึ่งเป็นชาเลนจ์ที่จะช่วยให้ผู้คนตระหนักถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายของตัวเอง ลดการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ประหยัดเงินเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับชีวิต เป็นการสร้างความสมดุลย์ (หาได้มาก เก็บได้มากก็มีอนาคตที่แข็งแรงได้)

ในหลักการวางแผนการเงิน เรามีหลักคิดว่า เมื่อเรากำหนดเป้าหมาย (มีเงินเพียงพอใช้ในชีวิตบั้นปลาย) แล้วไม่สามารถทำได้ตามนั้น มันก็ต้อง Makeover ซึ่งมีขั้นตอนได้แก่

  1. หาทางเพิ่มรายได้
  2. เปลี่ยนเป้าหมาย(ลดเป้าหมายลง)
  3. ลดรายจ่าย
  4. หาช่องทางในการเพิ่มมูลค่าเงินออม

ในความเห็นของคนแก่อย่างผม เชื่อว่าคนรุ่นใหม่ สนใจข้อสุดท้าย เพราะหากเพิ่มมูลค่าเงินที่ออมสะสมได้ ก็เท่ากับการมีความมั่นคง ไม่ต้องทำงานตลอดเวลา เรียกว่า มี Passive income

แต่ช้าก่อน..คนรุ่นใหม่อย่าเพิ่งติดกับดักกับคำว่า Passive income เพราะพฤติกรรมนี้จะเกิดขึ้นได้ ต้องมีองค์ประกอบครบทั้ง 3 ด้าน การจะให้เงินทำงานแทนเรา เป็นรายได้เพิ่มที่ไม่ต้องออกแรงนั้น คุณต้องมีเงินสะสมที่เพียงพอ มีระยะเวลาที่จะสะสมให้ passive income งอกงาม และประการสุดท้ายต้องเลือกแหล่งที่พักของเงินออมที่ให้ผลผลิตดี

เพื่อความเข้าใจมากขึ้น  ลองดูข้อเขียนของคุณกรณ์ จาติกวณิช ได้เคยอธิบายเรื่อง Passive Income คืออะไร? มีจริงหรือไม่? ต้องทำอย่างไร? ดังนี้

วันก่อนคนรุ่นลูกถามผม ต้องเริ่มอย่างไรถึงจะมี Passive income? Passive income หมายถึงการมีรายได้โดยไม่ต้องออกแรง คำตอบของผมคือ อยู่ดี ๆ จะกระโดดไปที่ passive income เป็นไปไม่ได้ ทางลัดไม่มี

ใครก็ตามที่คิดจะมี passive income สิ่งแรกที่ต้องทำคือตั้งใจทำงานเพื่อสร้างทุนทรัพย์ ถึงจะมีโอกาสมี passive income ในอนาคตได้ และทุนทรัพย์ต้องใหญ่มาก คุณถึงจะมีผลตอบแทนจากการลงทุนที่เพียงพอในการใช้ชีวิต

หากทุนทรัพย์ไม่ใหญ่พอ คุณก็ต้องเพิ่มความเสี่ยงในการลงทุน เพื่อผลตอบแทนที่อาจจะสูงขึ้น และการประเมินความเสี่ยงเป็นเรื่องที่ต้องตั้งใจทำจริงจัง ซึ่งหมายความว่ามันไม่ passive จริง

และยิ่งเสี่ยงก็ยิ่งมีโอกาสพลาดพลั้ง

ยกตัวอย่าง สมมติคุณต้องการมีรายได้เดือนละ 1 แสนบาท Passive income ที่แท้จริงคือเอาเงินไปฝากธนาคาร ความเสี่ยงแทบไม่มี ความรู้ก็ไม่ต้องมีด้วย ไม่ต้องทำอะไรเลย แต่วันนี้ดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่แค่ 1% หมายความว่าคุณต้องฝากเงิน 120 ล้านบาท ถึงจะมีดอกเบี้ยปีละ 1.2 ล้าน หรือเดือนละ 100,000 บาท

สมมุติว่าทุนทรัพย์คุณมี 10 ล้านบาท และคุณต้องใช้เงินปีละ 1.2 ล้าน นั่นหมายความว่าคุณต้องมีผลตอบแทน 12% – ทุก ๆ ปี อันนี้ยากขึ้น แต่ยังเป็นไปได้ ซึ่งไม่มีใครให้คุณฟรีๆแน่นอน คุณต้องแสวงหาโอกาส ต้องศึกษา ต้องทำการบ้าน และคอยติดตามประเมินสถานการณ์ – คือต้อง active ไม่ใช่ passive แน่นอน

ผมกำลังพยายามบอกว่า Passive Income จริง ๆ ผมว่าไม่มีหรอกครับ เว้นแต่คุณรวยอยู่แล้วเป็นทุนเดิม ที่ทำได้คือการตั้งเป้าว่าเราทำงานหนัก สะสมทุนสัก 35-40 ปี เพื่อเราอยู่ได้ด้วย Passive Income ในวัยเกษียณ ระหว่างทางหากฟลุ๊คได้เงินก่อนมาค่อยว่ากัน

ที่เอามาคัดลอกไว้ตรงนี้ ไม่ได้มาให้ถอดใจกับความเชื่อเรื่อง Passive income แต่อยากให้เดินสายกลาง ไม่เชื่อจนงมงายและไม่คัดค้านจนกลัวไปหมด ทุกอย่างมีข้อดีข้อเสีย มีจุดอ่อนในความแข็ง ทำทุกอย่างด้วยความระมัดระวังและเข้าใจ

บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน

เวลา/โอกาสไม่อาจย้อนกลับไป แต่เริ่มต้นใหม่ได้เสมอ

ขาดสภาพคล่อง !!

เงินเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งของชีวิต แต่ระวัง..อย่าปล่อยให้เงินทำลายชีวิต

×

Share

แท็กที่เกี่ยวข้อง

ผู้เขียน