ในยุคที่ข้อมูลเปรียบเสมือนขุมทรัพย์ล้ำค่า การมีข้อมูลอยู่ในมืออาจนำมาซึ่งอำนาจในการขับเคลื่อนสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมหาศาล ทว่าข้อมูลที่ไร้ซึ่งการตีความและไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์ก็เป็นเพียงสิ่งที่ไร้ความหมาย ด้วยการตระหนักถึงศักยภาพของข้อมูลและการนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง
ทรู คอร์ปอเรชั่น จึงได้ร่วมมือกับศูนย์พัฒนาและออกแบบเมือง (UddC) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในโครงการ “Dynamic Cities via Mobility Data หลากชีวิตในเมืองที่โลดแล่น” ซึ่งเป็นการบุกเบิกการใช้ข้อมูลการเคลื่อนที่ของประชากรผ่านโทรศัพท์มือถือ (Mobility Data) ภายใต้มาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อทำความเข้าใจวิถีชีวิตของผู้คนใน 4 เมืองใหญ่ของไทย และนำไปสู่การตั้งคำถามใหม่ถึงความเชื่อมโยงระหว่างโครงสร้างเมืองและวิถีชีวิตของผู้คน โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการออกแบบเมืองที่น่าอยู่และตอบโจทย์สำหรับทุกคน
โครงการนี้นับเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่ได้มีการนำเอา Mobility Data มาใช้ในการสร้างมุมมองใหม่ ๆ เพื่อทำความเข้าใจเมืองอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
โครงการนี้เลือกศึกษาข้อมูลจาก 4 เมืองใหญ่ที่มีคาแรคเตอร์ที่แตกต่างกันและเป็นตัวแทนของ 4 ภูมิภาคคือ มหานครกรุงเทพฯ ซึ่งรวมถึงปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการและสมุทรสาคร , เชียงใหม่, ขอนแก่น และ สงขลาและหาดใหญ่
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำความเข้าใจใน 3 ประเด็นคือ
- เข้าใจพื้นที่เมืองหรือข้อมูลกายภาพ
- เข้าใจผู้คนที่อยู่ในเมือง
- เข้าใจพฤติกรรมของคนและกิจกรรม
เจาะลึก 3 มิติ Space-People-Place
อดิศักดิ์ กันทะเมืองลี้ รองผู้อำนวยการศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง UddC ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมวิเคราะห์ข้อมูลโครงการนี้ กล่าวว่า Mobility Data ช่วยให้เข้าใจเมืองในแบบที่ข้อมูลแบบดั้งเดิมไม่อาจระบุได้ โดยเฉพาะการสะท้อนพฤติกรรมของผู้คนแบบเรียลไทม์
“เพราะเมืองเป็นเรื่องของทุกคน การเข้าใจเมือง เข้าใจผู้คนในเมืองผ่าน Mobility Data ก็เพื่อให้เข้าใจเมืองในมิติที่หลากหลายขึ้น” อดิศักดิ์กล่าว
การศึกษาครั้งนี้พบข้อมูลพฤติกรรมของผู้คนและเมืองที่น่าสนใจใน 3 มิติหลักคือ
1) City As Space การมองเมืองในฐานะที่เป็นพื้นที่ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ ที่อยู่อาศัย ที่ทำงานและพื้นที่อื่นๆ ข้อมูลเชิงลึกที่ได้จากการศึกษาในครั้งนี้ มีหลายประเด็นที่น่าสนใจ อาทิ พื้นที่ที่มีความหนาแน่นสูงตลอดทั้งวันของกทม. จะอยู่ในโซนกลางเมือง เช่น อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ถนนเพชรบุรี บางกะปิ รามคำแหง พระโขนงและบางนา ส่วนที่เชียงใหม่ พื้นที่ที่มีความหนาแน่นสูงตลอดวันคือ อ.เมือง รองลงมาคืออ.ฝาง ส่วนขอนแก่นก็เช่นกัน มีความหนาแน่นมากสุดใน อ. เมือง รองลงมาคือ อ. ชุมแพ ส่วนที่สงขลาและหาดใหญ่ซึ่งเป็นเมืองแฝด มีความหนาแน่นของประชากรพอๆกัน ในทั้ง 2 อำเภอคือหาดใหญ่และอ. เมือง
2) City As People การมองเมืองในฐานะที่เป็นเรื่องของผู้คน ศึกษาว่าผู้คนที่อยู่ในเมืองเป็นใครและอยู่ที่ไหน การศึกษาแบ่งคนออกเป็น 5 ช่วงวัยคือ
- อายุต่ำกว่า 18 ปี
- อายุ 18-22 ปีหรือนักศึกษามหาวิทยาลัย
- อายุ 23 ถึง 30 ปี หรือ First Jobber
- อายุ 31 ถึง 60 ปี หรือวัยทำงาน
- อายุมากกว่า 60 ขึ้นไป หรือวัยเกษียณ
หากดูตามกลุ่มช่วงวัยจะพบว่า กลุ่มแรกจะอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีจำนวนโรงเรียนมัธยมตั้งอยู่เป็นจำนวนมากส่วนเด็กมหาวิทยาลัยจะกระจุกตัวอยู่ตามพื้นที่ที่มีมหาวิทยาลัยตั้งอยู่ สำหรับ First Jobber พวกเขาไม่ได้อาศัยอยู่โซนใจกลางเมือง แต่พื้นที่หนาแน่นของประชากรกลุ่มนี้จะอยู่ในโซนอ่อนนุช บางกะปิ รามคำแหง ห้วยขวาง พระราม 7 ประชาชื่น วงเวียนใหญ่และท่าพระ ส่วนกลุ่มวัยทำงานซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดมีการกระจายตัวของการจับจองพื้นที่ของที่อยู่อาศัย ส่วนผู้สูงอายุจะกระจุกตัวอยู่ในย่านเมืองเก่า ส่วนมากจะอยู่ในฝั่งธนบุรี ถ้าเป็นฝั่งพระนครก็จะอยู่ในเขตเมืองเก่า และกระจุกตัวอยู่ในโซนชานเมือง เช่น มีนบุรี นวมินทร์ และรัชโยธินตอนบน
ข้อมูลยังบอกด้วยว่า มี 12 พื้นที่ในกทม. ที่มีการผสมผสานของคนทุกช่วงวัย เช่น รัชโยธิน ดินแดง ลาดพร้าว บางซื่อมีนบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่น่าสนใจสำหรับการเลือกพัฒนายุทธศาสตร์ที่ตอบโจทย์คนทุกช่วงวัย
3) City As Place การมองเมืองคือถิ่นที่ ซึ่งเป็นการพบกันระหว่าง Space และ Time หรือการดูข้อมูลว่า เราอยู่ที่ไหนในช่วงเวลาใด จากการเคลื่อนที่ของการใช้มือถือ
“ถิ่นที่เหล่านี้จะมีความหมายก็ต่อเมื่อเราเอาข้อมูลทั้งพื้นที่ผู้คนและมิติเรื่องเวลามารวมกัน และจัดทำเป็นข้อเสนอด้านยุทธศาสตร์สำหรับผู้พัฒนาเมือง ชูเรื่องการใช้ข้อมูลที่เป็น Data Driven City หรือใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อเมืองที่ดีกว่า เพื่อนโยบายที่ดีกว่า เพื่อความเข้าใจเมืองที่ดีกว่า และสุดท้ายคือการสร้างคุณภาพชีวิตของผู้คนในเมืองที่ดีกว่า” อดิศักดิ์กล่าว
เมืองที่ดีต้องออกแบบเพื่อวิถีชีวิตคน
นอกจากนี้ ข้อมูลจากการศึกษาครั้งนี้ยังทำให้มองเห็นภาพรวมการใช้ชีวิตของผู้คนในเมืองได้อย่างละเอียด เช่น ผู้คนในกรุงเทพมหานครมีภาระเวลาในการเดินทางมากกว่าจังหวัดอื่นๆ อย่างชัดเจน ส่งผลให้ช่วงเวลาหลังเลิกงานที่ควรเป็นเวลาส่วนตัวและพักผ่อนกลับถูกลดทอนไป ขณะที่ประชาชนในเชียงใหม่และขอนแก่นสามารถใช้ชีวิตภายในรัศมีใกล้บ้านได้มากกว่า แสดงถึงความใกล้ชิดระหว่างที่อยู่อาศัย การทำงาน และพื้นที่ใช้ชีวิต
ขณะเดียวกัน กลุ่มผู้สูงอายุยังใช้ชีวิตในย่านละแวกบ้านเป็นหลัก และแทบไม่ปรากฏในพื้นที่สาธารณะที่ไกลออกไป ซึ่งสะท้อนถึงข้อจำกัดเชิงโครงสร้างของเมืองที่ยังไม่เอื้อต่อการเข้าถึงและความปลอดภัยอย่างแท้จริง ในขณะที่ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์แล้ว หากรูปแบบการใช้ชีวิตและการเดินทางของกลุ่มวัยเกษียณอายุดำเนินต่อไปเช่นนี้ จะส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจ สังคม สุขภาวะอย่างไร นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงบทบาทของพื้นที่กลาง (Third Place) ที่ผู้คนใช้เพื่อสังสรรค์ พบปะ ทำกิจกรรม หรือพักจากชีวิตประจำวัน ซึ่งในบางเมืองยังมีจำนวนไม่เพียงพอ หรือมีเวลาการให้บริการที่ไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมจริง
“ข้อมูลเชิงพฤติกรรมเหล่านี้สามารถต่อยอดเป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายสาธารณะที่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการขยายเวลาเปิดสวนสาธารณะ การจัดระบบขนส่งสาธารณะในช่วงเวลาที่มีการใช้งานจริง หรือการวางแผนพื้นที่รองรับผู้สูงอายุในย่านที่มีการอยู่อาศัยหนาแน่น ไม่ใช่เพียงบนแผนที่หรือแนวคิดเชิงผังเมืองเท่านั้น เมืองที่ดีจึงไม่ควรออกแบบเพียงแค่พื้นที่ แต่ต้องออกแบบให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของผู้คนด้วย” อดิศักดิ์กล่าว
ใช้ Data ร่วมออกแบบเมืองที่น่าอยู่
ด้านจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ทรูเชื่อมั่นว่าเทคโนโลยีและโครงข่ายที่ทันสมัย ไม่ควรหยุดอยู่แค่การสื่อสาร แต่ต้องสามารถสร้างประโยชน์ให้กับสังคมในภาพรวมได้ด้วย โครงการหลากชีวิตในเมืองที่โลดแล่น สะท้อนถึงพลังของ Mobility Data ที่ช่วยให้เข้าใจวิธีที่ผู้คนใช้ชีวิตในเมือง การรวบรวมข้อมูลการเคลื่อนที่จะช่วยพัฒนาชีวิตของเมืองและคน ตั้งแต่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เมืองอัจฉริยะ การรับมือกับภัยพิบัติหรือเหตุไม่คาดฝัน การออกแบบนโยบายให้เหมาะกับความหลากหลายของผู้คนในเมือง ไปจนถึงการฟื้นฟูหรือการสร้างท่องเที่ยว
Data ต้องมาพร้อมกับ Empathy

ด้านชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวถึงความสำคัญในการพัฒนาเมืองจากประสบการณ์จริงว่า ข้อมูลดิจิทัลเป็นเรื่องสำคัญแต่การมี Empathy หรือความเข้าอกเข้าใจความรู้สึกของผู้คนในเมือง ก็สำคัญเช่นกัน เพราะข้อมูลจะมีความหมายมากขึ้น
“Empathy คือ I feel (how) you feel เราต้องลงไปสัมผัสกับพื้นที่จริง ต้องลงไปดูว่าชาวบ้านอยู่กันอย่างไร คนกวาดถนนอยู่กันอย่างไร ถึงจะทำให้ข้อมูลมีคุณค่าและมีมิติที่หลากหลายมากขึ้น” ชัชชาติกล่าว
เกี่ยวกับ Data Playground for Human Impacts
โครงการหลากชีวิตในเมืองที่โลดแล่นเป็นโครงการแรกของ “Data Playground for Human Impacts” หรือ พื้นที่แห่งความร่วมมือ ขับเคลื่อนสังคมด้วยข้อมูล สู่อนาคตที่ดีสำหรับทุกคน ซึ่งริเริ่มโดย ทรู คอร์ปอเรชั่น ในฐานะผู้นำด้านโครงข่ายดิจิทัลและเทคโนโลยีของไทย ที่มองเห็นศักยภาพของข้อมูลและเทคโนโลยีที่ก้าวไกลที่จะนำมาสร้างประโยชน์ให้แก่สังคมได้มากกว่าการสื่อสาร จึงเปิดพื้นที่การทำงานร่วม เพื่อให้หน่วยงานภาคการศึกษา ภาครัฐ ภาคประชาสังคม และทุกภาคส่วน ได้เข้ามามีบทบาทร่วมกันศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลการเคลื่อนที่ของประชากรผ่านการใช้งานโทรศัพท์มือถือ (Mobility Data) และข้อมูลการใช้งานแพลตฟอร์มบริการดิจิทัล ภายใต้มาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ทำความเข้าใจปัญหาในมุมมองใหม่ เพื่อจุดประกายให้เกิดความเป็นไปได้ใหม่ๆ นำไปสู่การวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และข้อเสนอแนะในการออกแบบนโยบายสาธารณะที่สอดรับกับพฤติกรรมของผู้คนในสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และแม่นยำมากยิ่งขึ้น
ในปีนี้ ทรูยังร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ในการใช้ Mobility Data ศึกษาเรื่อง Digital Divide หรือความเหลื่อมล้ำในสังคมที่เกิดจากโอกาสในการเข้าถึงสารสนเทศที่ไม่เท่าเทียมกัน และการนำ Mobility Data มาศึกษาเรื่องการท่องเที่ยวเมืองรอง เพื่อหาคำตอบว่าเหตุใดคนจึงไม่นิยมพักค้างแรมที่เมืองรอง และวางยุทธศาสตร์การส่งเสริมให้คนไปเที่ยวหรือใช้จ่ายในเมืองรองมากขึ้น
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
เอปสันตั้งเป้าเติบโต 6% ปี 2568 ชูนวัตกรรมคู่ความยั่งยืนรุกตลาด
พลังหญิงขับเคลื่อน SCBX: เปิดเส้นทางท้าทาย สู่ผู้นำยุคใหม่