กลุ่มบริษัท Efrastructure ของ “ป้อม-ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ” โชว์พลังเครือข่าย 51 สตาร์ตอัพไทย สร้างมูลค่าหมุนเวียนทางเศรษฐกิจกว่า 7.95 แสนล้านบาทในปี 2024 ตอกย้ำศักยภาพธุรกิจนวัตกรรมในการพลิกโฉมประเทศ พร้อมเรียกร้องภาครัฐสนับสนุนจริงจังเพื่อยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันในเวทีโลก
ค่ำวันจันทร์ต้นสัปดาห์สุดท้ายของเดือนเมษายน ณ งานรวมพลประจำปีที่จัดขึ้นโดย ป้อม-ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ นักลงทุนและผู้ประกอบการชื่อดัง บรรยากาศไม่ได้เป็นเพียงการอัปเดตผลประกอบการ แต่ถูกวางกรอบให้เป็นเวทีแสดงพลังและผลกระทบร่วมจากการดำเนินงานในปี 2024 ของกลุ่มบริษัท Efrastructure ที่เขาลงทุนในสตาร์ตอัพไทยกว่า 51 บริษัท ภายใต้ธีมหลัก “สตาร์ตอัพไทยเปลี่ยนประเทศอย่างไรบ้าง”
ท่ามกลางความเชื่อของภาวุธที่ว่า ผลกระทบอันยิ่งใหญ่ของสตาร์ตอัพไทยมักถูกมองข้าม กลุ่มบริษัทนี้กำลังสร้างแรงกระเพื่อมมหาศาลต่อเศรษฐกิจไทย วัดได้จากมูลค่าการซื้อขายที่พวกเขามีส่วนช่วยขับเคลื่อนสูงถึง 7.95 แสนล้านบาท จากยอดการทำธุรกรรมกว่า 77 ล้านรายการ ในปี 2024 เพียงปีเดียว พร้อมขยายผลสนับสนุนผู้ประกอบการไทยถึง 159,381 ราย ทั่วประเทศ ส่งสัญญาณชัดว่าไทยพร้อมก้าวสู่เศรษฐกิจใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ขณะเดียวกันก็ย้ำถึงความจำเป็นที่ภาครัฐต้องเข้ามาผลักดันสตาร์ตอัพไทยอย่างจริงจัง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลกEfraStructure: อีโคซิสเต็มที่สร้างอย่างมีกลยุทธ์
Efrastructure: อีโคซิสเต็มที่สร้างอย่างมีกลยุทธ์
จุดเริ่มต้นของอีโคซิสเต็มนี้ย้อนกลับไปถึงปี 1999 เมื่อภาวุธร่วมก่อตั้ง Thaisecondhand.com การได้รับเงินลงทุนจาก Rakuten ประเทศญี่ปุ่นในเวลาต่อมา ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขามีทุนสำหรับเริ่มต้นเส้นทางการลงทุน โดยเริ่มจาก Thaiware ก่อนจะขยายพอร์ตการลงทุนอย่างมีกลยุทธ์ตลอดหลายปี โดยมีกลุ่ม TTC Group เข้าร่วมลงทุนด้วย หัวใจสำคัญคือแนวคิด “Infrastructure” หรือการสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่จำเป็นสำหรับธุรกิจไทย โดยเน้นบริการแบบ B2B ที่เชื่อมโยงถึงกัน โครงสร้างนี้ไม่ใช่การรวมบริษัทแบบสุ่ม แต่เป็นการจัดวางอย่างมีแบบแผน เพื่อสร้างโซลูชันครบวงจรสำหรับธุรกิจไทย

พอร์ตโฟลิโอของ Efrastructure มีความหลากหลาย ครอบคลุมหลายกลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญ ได้แก่:
- การศึกษา (Education): ผ่านหลักสูตรด้านดิจิทัล (DF) และ AI (ABI) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยศรีปทุม
- การตลาดและการขาย (Marketing & Sales): เช่น Winter Agency, TellScore ด้านการตลาดอินฟลูเอนเซอร์ และ Sable สำหรับ CDP/Marketing Automation
- เทคโนโลยีอาหาร/CPG (Food Tech/CPG): มีความหลากหลายตั้งแต่ซอส ธุรกิจอาหาร อาหารสุนัข ไปจนถึงเหล้าบ๊วย
- การดำเนินธุรกิจและการชำระเงิน (Business Operations/Payments): ประกอบด้วย Pay Solution (Payment Gateway ที่ได้รับใบอนุญาต ธปท.), Gas (Crypto Stable Coin) และ Cool Lab (Crypto Exchange ที่ได้รับใบอนุญาต ก.ล.ต.) การมีใบอนุญาตเหล่านี้สะท้อนความสามารถในการดำเนินงานภายใต้กฎระเบียบที่ซับซ้อน
- โลจิสติกส์และการจัดการคลังสินค้า (Logistics & Fulfillment): เช่น Thaicommerce/FastShip (ส่วนหนึ่งของ CloudCommerce) สำหรับขนส่งระหว่างประเทศ, Siam Outlet, Trustport ด้าน Fulfillment และ Vecabo (เดิมชื่อ V-Cargo) สำหรับบริหารจัดการการขนส่ง (แม้ Shippop จะ Exit ไปแล้ว)
- ระบบหลังบ้าน (Back Office – Core Infrastructure): ที่สำคัญอย่าง Peak ระบบบัญชีออนไลน์, HumanSoft ด้าน HR/Payroll, Bwork สำหรับลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ และ ASEAN M&A Partner ซึ่งเป็นที่ปรึกษา M&A
- บิ๊กดาต้า (Big Data): นำโดย WiseSight สำหรับข้อมูลโซเชียลมีเดีย, Creden ด้านข้อมูลบริษัท และการร่วมทุนกับ ETDA ผ่าน Priceza (PG Diligence) เพื่อวิเคราะห์ข้อมูล E-commerce ลงลึกถึงระดับ SKU
- เทคโนโลยีเชิงลึก (Deep Tech – Robotics, Energy, Industry): เช่น Factorial และ Auto Tech ด้านเทคโนโลยีโรงงาน, Nextus Robotic ด้านหุ่นยนต์ และ Carbon Vice สำหรับ Carbon Footprint/Credit
- ฟินเทคและการลงทุน (FinTech/Investment): ผ่านกองทุน FinoEfra และกองทุน BMB Thai SME Fund (ร่วมกับ Ookbee)
เครื่องยนต์เศรษฐกิจ: ผลกระทบที่วัดได้และข้อมูลเชิงลึก

ตัวเลข 7.95 แสนล้านบาท จาก 77 ล้านรายการธุรกรรม คือมูลค่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ Efrastructure ช่วยอำนวยความสะดวกในปี 2024 (นี่คือมูลค่าที่เอื้อให้เกิด ไม่ใช่รายได้โดยตรงของสตาร์ตอัพ) แสดงให้เห็นบทบาทในฐานะผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานที่ขยายกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้ใหญ่กว่าขนาดของตนเองหลายเท่าตัว
ตัวเลขมหาศาลนี้ได้รับแรงขับเคลื่อนสำคัญจาก Peak Account ระบบบัญชีออนไลน์ที่ดูแลเม็ดเงินกว่า 6.9 แสนล้านบาท ตามมาด้วยแพลตฟอร์มจัดการค้าขายออนไลน์ Zort ที่ช่วยบริหารยอดขายกว่า 8.8 หมื่นล้านบาท ส่วน Pay Solution แพลตฟอร์มชำระเงิน สร้างมูลค่าการซื้อขายกว่า 6 พันล้านบาท และยังช่วยดึงเม็ดเงินจากต่างประเทศเข้าไทยกว่า 5 ร้อยล้านบาท ขณะที่ FastShip (ส่วนหนึ่งของ CloudCommerce) ช่วยส่งสินค้าไทยกว่า 3 ล้านชิ้น ออกไปมากกว่า 150 ประเทศ ทั่วโลก
นอกจากนี้ ยังมี WhiteSight/Civit (Chatbot) ที่สร้างธุรกรรมเกือบ 6 พันล้านบาท, Winter Egency ที่ช่วยขับเคลื่อนยอดขายเกือบ 5 พันล้านบาท, TellScore ที่สร้างมูลค่า 300 ล้านบาทจากเครือข่ายอินฟลูเอนเซอร์ และ Matchday แพลตฟอร์มสนามกีฬาอีก 120 ล้านบาท
นอกเหนือจากมูลค่าธุรกรรม Efrastructure ยังสนับสนุนผู้ประกอบการไทยโดยตรงถึง 159,381 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็น SMEs ผ่านแพลตฟอร์มสำคัญอย่าง Civit (เกือบ 100,000 ราย), Peak (30,000 ราย) และ HumanSoft (20,000 ราย) ช่วยให้ธุรกิจเหล่านี้เติบโตและแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญบริษัทอย่าง Peak, Zort และ WiseSight/PG Diligence ยังครอบครองข้อมูลทางเศรษฐกิจและการตลาดมหาศาล ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ที่อาจยังไม่ได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์เต็มที่ในการทำความเข้าใจเศรษฐกิจไทย
มากกว่างบดุล: สานต่อโครงสร้างสังคม การจ้างงาน และประสิทธิภาพ
อิทธิพลของ Efrastructure แผ่ขยายไปไกลกว่ามิติเศรษฐกิจ ในด้านการสร้างงานและการพัฒนาบุคลากร กลุ่มบริษัทมีการจ้างงานรวมกัน 1,585 คน ซึ่งรวมถึงโปรแกรมเมอร์ 365 คน (23% ของทั้งหมด) และนักวิทยาศาสตร์/นักวิเคราะห์ข้อมูลกว่า 200 คน ที่ WiseSight ถือเป็นการสร้างและพัฒนาบุคลากรดิจิทัลที่สำคัญของประเทศ
การขับเคลื่อนประสิทธิภาพการดำเนินงานเห็นได้ชัดเจน เช่น FactoryRoom ซอฟต์แวร์บริหารจัดการเครื่องจักร ช่วยวิเคราะห์เวลาเครื่องจักรหยุดทำงาน (Breakdown Time) ประมาณ 400,000 ชั่วโมง ในโรงงานเกือบ 400 แห่ง ซึ่งอาจช่วยลดความเสียหายได้ถึง 2.2 พันล้านบาท (ข้อมูลนี้มาจากเพียง 70% ของลูกค้าทั้งหมด) ขณะที่ Vecabo แพลตฟอร์มบริหารการขนส่ง ช่วยประหยัดค่าเชื้อเพลิงไปกว่า 15 ล้านบาท ส่วน HumanSoft บริหารจัดการ HR/Payroll ให้กับพนักงานราว 500,000 คน ใน 20,000 บริษัท ด้าน Peak การประมวลผลเอกสารดิจิทัลก็ช่วยลดการใช้กระดาษ และมีส่วนช่วยลดการปล่อยคาร์บอนประมาณ 500,000 กิโลกรัม CO2 เทียบเท่า
การเพิ่มการเข้าถึงและคุณภาพชีวิตก็เป็นอีกมิติสำคัญ Thaidet แพลตฟอร์ม Telehealth ช่วยประหยัดค่าเดินทางของผู้ป่วยกว่า 100 ล้านบาท ลดภาระโรงพยาบาล ส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยราว 50,000 คน โดยเข้าถึงได้ง่ายผ่านแอป LINE จากที่บ้านหรือสถานีอนามัยใกล้บ้าน ส่วน Daywork เป็นแพลตฟอร์มเชื่อมโยงคนเกือบ 700,000 คน เข้ากับโอกาสในการทำงาน
นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงความโปร่งใสทางธุรกิจผ่าน Creden Data การสร้างเครือข่ายอินฟลูเอนเซอร์ 85,000 คนผ่าน TellScore (โดยมีประมาณ 20,000 คน สร้างรายได้) การเพิ่มรายได้ให้สนามกีฬา 30-200% ผ่าน Matchday และโมเดลธุรกิจเฉพาะกลุ่มอย่าง Nasket (ติดตั้งตู้จำหน่ายน้ำดื่มอัตโนมัติ) ที่สร้างรายได้หลายสิบล้านบาทด้วยทีมงานเพียง 7 คน ด้านสิ่งแวดล้อม CarbonWize ให้บริการคำนวณ Carbon Footprint แก่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์กว่า 150 บริษัทและร่วมมือกับ AutoTech หาโซลูชันลดคาร์บอน และกำลังพัฒนา “Double Vise” สำหรับการรายงานความยั่งยืน (ESG) ที่ครอบคลุมขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มโรงแรม ที่น่าสนใจคือ การกระจายตัวของทีมเทคโนโลยีไปยังต่างจังหวัด เช่น ศูนย์พัฒนา Tech Solution ของคุณภาวุธเองที่เชียงใหม่, Human Soft ในพิษณุโลก, และ NTF ในขอนแก่น เพื่อใช้ประโยชน์จากต้นทุนและบุคลากร
ชีพจรผลการดำเนินงาน: การเติบโต กำไร และพลวัตของพอร์ต
ภาพรวมสถานะของบริษัทประมาณ 50 แห่ง ชี้ว่าส่วนใหญ่อยู่ในระยะ “เติบโต” (Growth) แม้จะมีการยอมรับถึงความล้มเหลว โดยมีประมาณ 7 บริษัท ที่ “ตาย” (Dead) และ 2 บริษัท ที่ “ปิด” กิจการ (Closed – เช่น 7 Days a Week, กองทุน MBC) แต่ก็มี 2 บริษัท ที่ประสบความสำเร็จในการ Exit คือ Shippop และ Skootar การกระจายตัวตามระดับรายได้ต่อปี (ข้อมูล 2024) แสดงให้เห็นการผสมผสาน: Tier A (มากกว่า 200 ล้านบาท) มี 4 บริษัท (Cloud Commerce รายได้สูงสุด ประมาณ 400 ล้านบาท เตรียมเข้าตลาดฯ); Tier B (100-200 ล้านบาท) มี 5 บริษัท; Tier C (50-100 ล้านบาท) มี 5 บริษัท; Tier D (20-50 ล้านบาท) มี 5 บริษัท; และ Tier E (น้อยกว่า 20 ล้านบาท) มี 17 บริษัท ซึ่งหลายบริษัทขยับขึ้นจากปีก่อนหน้า
ดาวเด่นในด้านต่าง ๆ อาทิ CloudCommerce (รายได้สูงสุด), Winter Egency (กำไรสูงสุด ประมาณ 40 ล้านบาท) WiseSight (พนักงานมากสุด คือ มากกว่า 250 คน) แสดงให้เห็นว่ารูปแบบธุรกิจและกลยุทธ์ที่ต่างกันนำสู่ความสำเร็จทางการเงินที่ต่างกัน กรณีศึกษา ShipPop ที่สร้างธุรกิจจากศูนย์สู่รายได้เกือบ 500 ล้านบาทใน 7 ปี ก่อนขายให้ SCB ในปี 2563 สร้างผลตอบแทน 8.7 เท่า และได้รับประโยชน์จากการยกเว้นภาษีกำไรส่วนทุนจาก BOI ถูกเน้นย้ำว่าเป็นปัจจัยสำคัญและสนับสนุนให้สตาร์ตอัพอื่นขอรับสิทธิ์นี้ด้วย
สร้างความแข็งแกร่งผ่านความร่วมมือ
กลยุทธ์สำคัญคือ พลังร่วม (Synergy) ทั้งภายในและภายนอก มีความพยายามเชื่อมโยงบริการของบริษัทต่าง ๆ เข้าด้วยกันอย่างชัดเจน เช่น การเชื่อม Peak (บัญชี) + Pay Solution (ชำระเงิน); การรวม Zort (ออเดอร์) + Peak + Siam Outlet (Fulfillment) เป็นโซลูชัน E-commerce ครบวงจร (ทางเลือกให้ธุรกิจเป็นเจ้าของข้อมูลลูกค้าเอง) การเชื่อม HumanSoft (HR) + Peak (บัญชี) และแผนเชื่อมต่อกับ A-Work ในอนาคต; APS (ระบบคลินิก) + Pay Solution; หรือ CarbonWize + AutoTech (ลดคาร์บอน) และศักยภาพของ Sable (CDP) ในการรวบรวมข้อมูลลูกค้า
นอกจากการบูรณาการภายใน ยังมีการใช้ประโยชน์จากพันธมิตรภายนอกอย่างมีกลยุทธ์ เช่น ความสัมพันธ์กับ AWS ซึ่งการรวมตัวเป็นกลุ่มใหญ่ Efrastructure ช่วยให้ได้รับความสนใจและการสนับสนุนที่ดีขึ้น ทั้งการประหยัดค่าใช้จ่าย การเก็บข้อมูลในไทย ความพร้อมใช้งานสูง การฝึกอบรม และชุมชน รวมถึงการสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น สิทธิประโยชน์ BOI และเงินทุนจาก DEPA ที่ WiseSight, MatchDay, Decargo และ Sable ได้รับ ตลอดจนความร่วมมือกับภาคเอกชนอย่างกลุ่มสิงห์ในการจัดตั้งกองทุน FinnoEfra การบูรณาการนี้ทำให้ Efrastructure เป็นมากกว่าพอร์ตการลงทุน แต่ใกล้เคียงกับชุดเครื่องมือเทคโนโลยีที่เชื่อมต่อกัน
กำหนดทิศทางอนาคต: การลงทุนเชิงกลยุทธ์และพรมแดนใหม่
ทิศทางในอนาคตสะท้อนผ่านการลงทุนล่าสุดในปี 2024 ทั้ง Nextus Robotic (หุ่นยนต์ฮาร์ดแวร์ ต้องการการสนับสนุนด้านการขาย), Sable (CDP/Marketing Automation กุญแจสำคัญในการใช้ข้อมูล ได้รับทุนพัฒนา AI การตลาดส่วนบุคคล) และ ASEAN M&A Partner (ก่อตั้งร่วมกับ Koji แห่ง KK Fund มุ่งเน้นดีล M&A กับบริษัทญี่ปุ่น สร้างช่องทาง Exit) การระดมทุนรอบล่าสุดของ Matchday (4 ล้านบาท จากกองทุน S3 ขยาย API สนามกีฬา), Decargo (4 ล้านบาท น่าจะจาก DEPA พัฒนาซอฟต์แวร์โลจิสติกส์ตามกฎ TSM ใหม่ มีแนวคิดเชื่อมข้อมูลประกันภัย) และ Sable (3.5 ล้านบาท จาก “IT”/DEPA พัฒนา AI การตลาด) ก็ชี้ทิศทางการพัฒนา
นอกจากนี้ การขยายขอบเขตการลงทุนผ่านกองทุน FinnoEfra ที่เน้น Seed/Pre-Series A ซึ่งเป็นกองทุนเดียวที่ยังเน้นระยะนี้จริงจังในไทย และ BMB Thai SME Fund ที่ร่วมกับ Ookbee เน้น SME ที่มีรายได้มั่นคง ไม่ใช่สตาร์ตอัพทั่วไป เช่น ลงทุนใน Note C ยอดขายกว่า 400 ล้านบาท แสดงถึงกลยุทธ์ในการสนับสนุนอีโคซิสเต็มในระยะต่าง ๆ และการสร้างโอกาสทางธุรกิจ การให้ความสำคัญกับการ Exit เห็นชัดจากการสร้างและลงทุนใน ASEAN M&A Partner ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวเชิงรุกเพื่อแก้ไขปัญหาสำคัญของสตาร์ตอัพ

ความท้าทาย การผลักดัน และหนทางข้างหน้า
แม้จะประสบความสำเร็จ แต่ Efrastructure และอีโคซิสเต็มสตาร์ตอัพไทยยังเผชิญความท้าทายสำคัญ โดยเฉพาะการแข่งขันจากแพลตฟอร์มต่างชาติ (Lazada, Shopee, TikTok) ในตลาด E-commerce ซึ่งจำกัดการเข้าถึงข้อมูลลูกค้าของผู้เล่นในประเทศ และประเด็นที่ภาวุธหยิบยกขึ้นมาคือ การมีส่วนร่วมของสตาร์ตอัพไทยมักถูกมองข้าม โดยเฉพาะจากภาครัฐ เขาจึงเรียกร้องให้รัฐบาลกลับมาให้การรับรองและสนับสนุนอีกครั้ง เชื่อมโยงกับการสร้าง “New S-Curve” ให้เศรษฐกิจไทย
ในการผลักดันเชิงนโยบาย ภาวุธเปิดเผยแผนการจัดสัมมนา “E-commerce กู้ชาติ: ฟังเสียงคนออนไลน์” ณ อาคารรัฐสภา เพื่อรวบรวมผู้เกี่ยวข้อง สะท้อนปัญหา และแสวงหาแนวทางแก้ไขหรือการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ เขามองว่าช่วงเวลาที่เศรษฐกิจท้าทายกลับเป็นโอกาสสำหรับธุรกิจเทคโนโลยี เพราะองค์กรจะเน้นลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ สตาร์ตอัพจะต้องเร่งสร้างการเติบโต ควบคู่ไปกับการช่วยให้ลูกค้าเติบโตไปด้วยกัน ภายใต้แนวคิด “เขาโต เราโตด้วยเหมือนกัน”
สตาร์ตอัพไทย ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงที่รอการปลดล็อก และเสียงถึงผู้นำ
เรื่องราวของ Efrastructure และสตาร์ตอัพไทย 51 บริษัท คือบทพิสูจน์ที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาคือพลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และนวัตกรรม ผลลัพธ์ที่จับต้องได้ ตั้งแต่มูลค่าธุรกรรมมหาศาล การสนับสนุน SME แสนราย ไปจนถึงการสร้างงานและประสิทธิภาพ เป็นเพียงจุดเริ่มต้น
ภาวุธและกลุ่ม Efrastructure ไม่เพียงเรียกร้องให้สตาร์ตอัพสื่อสาร “เหตุผล” (Why) หรือเป้าหมายและผลกระทบระดับชาติของงานที่ทำ ให้กับทีมงานได้รับรู้ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและความรู้สึกเป็นเจ้าของที่นอกเหนือไปจากค่าตอบแทน แต่ยังส่งเสียงดังถึงผู้กำหนดนโยบายด้วย
“นี่คือผลลัพธ์เพียงบางส่วนจากบริษัทสตาร์ตอัพไทยเพียงแค่ไม่กี่สิบบริษัท ก็สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศไทยได้มากขนาดนี้ หากประเทศไทยสร้างมีบริษัทนวัตกรรมใหม่ ๆ มากกว่านี้ ผมมั่นใจว่าเราจะสร้างการเปลี่ยนแปลงได้มากกว่านี้อีกหลายเท่าตัว” ภาวุธ กล่าวย้ำถึงศักยภาพที่ยังรอการปลดปล่อย
การเปลี่ยนแปลงไม่จำเป็นต้องรอคอยนักการเมือง ชุมชนเทคโนโลยีเองกำลังลงมือสร้างอนาคตของประเทศไทยอย่างแข็งขัน แต่การจะขยายผลให้ยิ่งใหญ่กว่านี้ ต้องการการสนับสนุนอย่างจริงจังจากภาครัฐ เพื่อปลดล็อคศักยภาพ ขับเคลื่อนประเทศไทยให้สามารถแข่งขันกับต่างชาติได้ และก้าวไปข้างหน้าด้วยนวัตกรรมอย่างแท้จริง
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
Money20/20 Asia โชว์ 6 สตาร์ตอัพฟินเทคนำเสนอโซลูชัน ตอบโจทย์อุตสาหกรรม
กรุงศรี ฟินโนเวต ปักหมุด Global Venture Capital ดันสตาร์ตอัพโตต่อในระดับภูมิภาค