ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดลูกค้าธุรกิจญี่ปุ่น ประกาศแผนรุกปี 2568 ของกลุ่มธุรกิจธนกิจพาณิชย์เกี่ยวกับญี่ปุ่น (JPC Banking) วางตำแหน่งตัวเองเป็น “ประตูหลัก” (Gateway) เชื่อมเม็ดเงินลงทุนจากญี่ปุ่นสู่ไทยและอาเซียน ท่ามกลางกระแสการย้ายฐานการผลิตและกระจายความเสี่ยงของซัพพลายเชนโลก (China+1) โดยชูกลยุทธ์ ‘Co-creating New Core Industries’ เจาะกลุ่มอุตสาหกรรม S-Curve ตามนโยบายภาครัฐ พร้อมใช้เครือข่ายระดับโลกของ MUFG และโซลูชันด้าน ESG เป็นแม่เหล็กสำคัญ ตั้งเป้าสินเชื่อเติบโต 9% ในปีหน้า
บุนเซอิ โอคุโบะ ประธานกลุ่มธุรกิจธนกิจพาณิชย์เกี่ยวกับญี่ปุ่น (JPC Banking) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินงานในปี 2568 จะมุ่งเน้นการต่อยอดความสำเร็จและขยายมิติการเติบโตที่ยั่งยืน ภายใต้แนวคิด ‘Co-creating New Core Industries’ ซึ่งไม่ใช่แค่การสนับสนุนทางการเงิน แต่เป็นการร่วมสร้างอุตสาหกรรมแห่งอนาคตไปพร้อมกับลูกค้า เพื่อตอบสนองต่อเทรนด์เศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงไป
“กรุงศรีมุ่งสนับสนุนธุรกิจญี่ปุ่นในประเทศไทยให้ก้าวสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยพันธกิจในการเป็นธนาคารพันธมิตรที่ไม่เพียงให้การสนับสนุนด้านการเงินเท่านั้น แต่จะต้องสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม” นายโอคุโบะกล่าว
เจาะ S-Curve ตอบโจทย์ภาครัฐและเทรนด์โลก
กลยุทธ์ของกรุงศรีสอดคล้องโดยตรงกับนโยบาย “ประเทศไทย 4.0” และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยธนาคารประกาศเจาะจงอุตสาหกรรมเป้าหมายศักยภาพสูง ได้แก่ ดาต้าเซ็นเตอร์ ชีวภัณฑ์เพื่อการเกษตร (Bio Green) เซมิคอนดักเตอร์ และเทคโนโลยีอาหาร (Food Technology) ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะเข้าไปเป็นผู้เล่นทางการเงินคนสำคัญในระบบนิเวศที่ภาครัฐกำลังผลักดัน และเป็นที่สนใจของนักลงทุนญี่ปุ่นที่มองหาโอกาสเติบโตนอกประเทศ
กลไกเชิงรุกยุคกระจายซัพพลายเชน
เพื่อตอบสนองต่อแนวโน้มที่บริษัทญี่ปุ่นต้องการหาพันธมิตรใหม่ในอาเซียนเพื่อลดการพึ่งพาซัพพลายเชนจากแหล่งเดียว กรุงศรีได้จัดเวที Japan-ASEAN Startup Business Matching Fair ซึ่งกลายเป็นกลไกเชิงรุกที่สำคัญ โดยงานล่าสุดประสบความสำเร็จอย่างสูง สามารถสร้างโอกาสในการจับคู่ธุรกิจได้มากกว่า 400 คู่ภายในวันเดียว มีสตาร์ทอัพดาวรุ่งกว่า 54 รายเข้าร่วม
ความสำเร็จดังกล่าวสะท้อนจากการดึงความร่วมมือจากภาครัฐและองค์กรชั้นนำถึง 7 ประเทศในเอเชีย และล่าสุดยังได้ลงนามความร่วมมือกับ Industrial Technology Investment Corporation (ITIC) จากไต้หวัน เพื่อส่งเสริมสตาร์ทอัพไต้หวันสู่ตลาดสากล ซึ่งเป็นการสร้างเครือข่ายพันธมิตรที่ครอบคลุม เพื่อรองรับการลงทุนข้ามพรมแดนที่ซับซ้อนขึ้น
ESG: ไม่ใช่ทางเลือก แต่คือใบเบิกทางสู่เวทีโลก
กรุงศรีมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่ามาตรฐาน ESG ได้กลายเป็นเงื่อนไขสำคัญในการทำธุรกิจและเป็นส่วนหนึ่งของซัพพลายเชนระดับโลก จึงได้ชูผลิตภัณฑ์เรือธงอย่าง Sustainable Deposit (เงินฝากเพื่อความยั่งยืน) และ Social Loan (สินเชื่อเพื่อสังคม) ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้ารายใหญ่อย่าง โตโยต้า ลีสซิ่ง, เอจีซี วีนิไทย และโซนี่ ดีไวซ์ เทคโนโลยี การมีโซลูชันทางการเงินที่ตอบโจทย์นี้จึงเปรียบเสมือน “ใบเบิกทาง” สำคัญที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้
มั่นใจโตสวนกระแส ด้วยส่วนแบ่งตลาดที่แข็งแกร่ง
ให้ข้อมูลว่า แม้ปีที่ผ่านมาจะเผชิญความท้าทายจากเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ชะลอตัว แต่ธนาคารยังคงตั้งเป้าสินเชื่อเติบโตที่ 9% ในปี 2568 ความเชื่อมั่นดังกล่าวตั้งอยู่บนพื้นฐานของส่วนแบ่งตลาดที่แข็งแกร่ง โดยปัจจุบันกรุงศรีครองส่วนแบ่งลูกค้าธุรกิจญี่ปุ่นในไทยมากกว่า 70% และดูแลพอร์ตเงินฝากของลูกค้ากลุ่มนี้มากกว่า 50%
ขณะเดียวกัน บริการที่ปรึกษาอย่าง Krungsri ASEAN LINK ยังคงเดินหน้าเชื่อมโยงธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยมีบริษัทที่รอการจับคู่อยู่ในไปป์ไลน์ถึง 71 บริษัท และมีเป้าหมายผลักดันให้ประสบความสำเร็จครบ 100 แห่งในอนาคต
“กรุงศรีจะยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสนับสนุนธุรกิจญี่ปุ่นและการเติบโตของเศรษฐกิจไทย เราพร้อมเดินเคียงข้างเป็นพันธมิตรทางธุรกิจอันดับแรกที่ลูกค้าไว้วางใจ และเป็นแพลตฟอร์มเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม”
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ถอดรหัส 4 ไลฟ์สไตล์เปลี่ยนโลก ชี้ชะตาธุรกิจประกันยุคดิจิทัล
‘เศรษฐกิจหมุนเวียน’ ไม่ใช่ทางเลือกแต่คือทางรอดของธุรกิจและโลก