โลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้งด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่แทรกซึมเข้าสู่ทุกมิติของชีวิตอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่การทำงาน การเรียนรู้ ไปจนถึงเศรษฐกิจในภาพรวม กล้า ตั้งสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวในงาน Bangkok AI Week 2025 ภายใต้หัวข้อ “AI’s Economic Awakening – Rethinking Thailand’s Future” โดยเน้นย้ำว่า AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นจุดเปลี่ยนที่สร้างทั้งโอกาสและความท้าทายครั้งสำคัญ
คลื่นยักษ์ AI เปลี่ยนภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลก
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา Generative AI ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและการทำงานอย่างมหาศาล ข้อมูลจาก Google พบว่า ภายในระยะเวลาเพียง 12 เดือน การใช้งาน AI ทั่วโลก (วัดเป็น token) เพิ่มขึ้นถึง 50 เท่า หรือ 5,000% ขณะที่ ChatGPT มีผู้ใช้งานทะลุ 500 ล้านคน และทะยานขึ้นเป็น 1 ใน 10 แอปพลิเคชันที่มีผู้ใช้มากที่สุดในโลกได้อย่างรวดเร็ว แซงหน้าแอปพลิเคชันที่ใช้เวลาสร้างฐานผู้ใช้นานหลายปี
“ถ้าเราเห็นกราฟที่ชันขึ้นแบบนี้ในทางเศรษฐศาสตร์ เราจะรู้ว่านี่คือสัญญาณให้รีบเข้า” คุณกล้า กล่าว
การลงทุนมหาศาลจากบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกสะท้อนทิศทางนี้อย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น โครงการ “Project Stargate” ซึ่งเป็นการร่วมทุนมูลค่ากว่า 5 แสนล้านเหรียญสหรัฐระหว่าง OpenAI, Softbank และ Oracle เพื่อสร้าง AI Mega Factory ในรัฐเท็กซัส หรือการลงทุนในปีนี้ของ Amazon ที่มีมูลค่าเกิน 1 แสนล้านเหรียญ และ Microsoft ที่ 8 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งยังไม่นับรวมการลงทุนมหาศาลจากประเทศจีน การลงทุนเหล่านี้ได้ผลิดอกออกผลเป็นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมได้ทันที เช่น ซอฟต์แวร์ MetaHuman ที่สามารถเปลี่ยนคนธรรมดาให้กลายเป็นอวตารที่สมจริงได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งจะปฏิวัติวงการโฆษณาและบันเทิง หรือความสามารถด้าน Deep Research ของ AI ที่ทำให้การค้นคว้าข้อมูลที่เคยใช้เวลานานเสร็จสิ้นได้ในไม่กี่นาที
นอกจากนี้ การลงทุนยังขยายไปสู่ Robotic AI จากเดิมที่เป็นเพียงแขนกลในโรงงานหรือโดรน ปัจจุบันได้พัฒนาสู่ Humanoid Robot ที่มีความสามารถทำงานได้เองอย่างสมบูรณ์ (Full Autonomous) และยานยนต์ไร้คนขับ (Autonomous Vehicle) ที่ให้บริการแท็กซี่แล้วใน 4 เมืองของสหรัฐฯ ซึ่งข้อมูลชี้ว่า “การขับรถโดยไม่มีคนขับเกิดอุบัติเหตุน้อยกว่ามีคนขับ” ซึ่งจะเปลี่ยนระบบเศรษฐศาสตร์ไปอีกมากเมื่ออุบัติเหตุบนท้องถนนลดลง
AI สร้างอย่างไร? และทำไมถึงพัฒนาเร็ว?
คุณกล้าได้อธิบายหลักการสร้าง AI แบบเข้าใจง่ายว่า จากยุคแรกที่มนุษย์ต้องเขียนโปรแกรมสั่งการทุกขั้นตอนเหมือนการเดินในเขาวงกต (Software 1.0) ได้พัฒนามาสู่ยุคที่ AI เรียนรู้ได้ด้วยตนเองจากการป้อนข้อมูล (Input) และผลลัพธ์ที่ต้องการ (Output) จำนวนมหาศาล เช่น การสอนให้ AI เติมคำในประโยคภาษาไทยที่ถูกต้อง (“เมื่อวานไปเซเว่นซื้อขนมปัง น้ำเต้าหู้ และไอติม” ไม่ใช่ “นกฮูก”) เมื่อสอนด้วยข้อมูลมหาศาล AI จะสร้างโมเดลความรู้ขึ้นมาเองและฉลาดขึ้นเรื่อย ๆ
หลักการเดียวกันนี้ใช้ได้กับภาพ โดย AI จะมองภาพเป็นชุดรหัสตัวอักษรและเรียนรู้แพตเทิร์นเพื่อจดจำวัตถุ เช่น โลโก้ แม้ภาพนั้นจะไม่สมบูรณ์ก็ตาม “AI จะฉลาดขึ้นได้ต้องการข้อมูลไปกิน ยิ่งมีข้อมูลให้เรียนรู้เยอะ ข้อผิดพลาดก็น้อยลง” เขากล่าว พร้อมย้ำว่า AI ยังคงมีโอกาสผิดพลาดและไม่มี “ความรับผิดชอบ” เหมือนมนุษย์ ผู้ใช้จึงต้องตรวจสอบผลลัพธ์เสมอ
ประเทศไทยอยู่ตรงไหนในสนามแข่ง AI?
เมื่อหันกลับมามองประเทศไทย คุณกล้าวิเคราะห์ถึงปัจจัยสำคัญ 3 ประการในการสร้าง AI ได้แก่ พลังงาน ชิปประมวลผล และข้อมูล (Data) เขาชี้ว่าประเทศไทยมีจุดแข็งด้านความมั่นคงของระบบไฟฟ้าซึ่งค่อนข้างเสถียรเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีจุดอ่อนที่ไม่สามารถผลิตชิป AI ขั้นสูงได้และต้องพึ่งพาการนำเข้า อย่างไรก็ตาม จุดแข็งที่สำคัญที่สุดของไทยคือการมีข้อมูล (Data) จำนวนมหาศาลจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลการลงทะเบียนภาครัฐ ข้อมูลการแพทย์ ข้อมูลลูกค้าในระบบ CRM หรือข้อมูลจากระบบชำระเงินดิจิทัล (QR Payment) และบัตรสมาชิกต่างๆ ซึ่งล้วนเป็นดิจิทัลแล้ว แต่สิ่งที่ยังเป็นอุปสรรคสำคัญคือการนำข้อมูลเหล่านี้มาเชื่อมโยงและใช้ประโยชน์ โดยมีข้อบังคับและกฎหมายอย่าง PDPA ซึ่งใช้แนวทางเดียวกับสหภาพยุโรป เป็นตัวจำกัดการนำข้อมูลไปใช้ในการฝึกฝน AI ซึ่งทำให้ไทยเสียเปรียบเมื่อเทียบกับจีนและสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นผู้นำด้านนี้
ทางออกและความหวัง: Public-Private Partnership (PPP)
คุณกล้าเสนอทางออกว่า ความหวังของประเทศไทยในการก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางด้าน AI คือการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน หรือ Public-Private Partnership (PPP)
“สิ่งที่รัฐบาลสหรัฐฯ ทำคือร่วมลงทุนกับเอกชน เราอยากเห็นรัฐบาลไทยร่วมลงทุนกับเอกชนที่ใช้งานและพัฒนา AI เป็น ปลดล็อกข้อจำกัดเรื่องการแชร์ข้อมูลเพื่อนำมาฝึกฝน AI โดยยังคงรักษาความเป็นส่วนตัวและผลประโยชน์ของคนในชาติ”
เขาทิ้งท้ายว่า หากไม่รีบดำเนินการ ประเทศไทยอาจกลายเป็นเพียง “ผู้ใช้” เทคโนโลยี และอาจสูญเสียสิ่งที่เรียกว่า “อธิปไตยทางข้อมูล” (Data Sovereignty) ซึ่งเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่คนไทยจะยึดถือได้ในโลกดิจิทัล การร่วมมือกันผลักดัน PPP จึงเป็นกุญแจสำคัญในการปลุกเศรษฐกิจและกำหนดอนาคตของชาติในยุค AI อย่างแท้จริง
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
อนาคตไทยในยุค AI และความหวังผ่าน Public-Private Partnership
กรุงศรี ปักธง ‘ประตูหลัก’ ดึงทุนญี่ปุ่นสู่อาเซียน รับกระแส China+1
จาก 1 สู่ 1,000 สาขา: ถอดรหัสกลยุทธ์ความสำเร็จ MR. D.I.Y.