Share on
×

Share

ถอดรหัสการลงทุนยุคใหม่: ฝ่ามรสุมความผันผวนด้วยกลยุทธ์และ AI

ท่ามกลางบรรยากาศที่เขียวขจีของตลาดหุ้นที่เริ่มฟื้นตัว ความเชื่อมั่นของนักลงทุนดูเหมือนจะกลับมาอีกครั้งหลังผ่านช่วงเวลาแห่งความหดหู่ในครึ่งปีแรก แต่ในโลกการลงทุนที่ข้อมูลข่าวสารถาโถมเข้าใส่อย่างรวดเร็วและรุนแรงกว่าที่เคย การควบคุม “อารมณ์” ได้กลายเป็นสมรภูมิที่ท้าทายที่สุดสำหรับนักลงทุนทุกคน การเดินทางผ่านวัฏจักรแห่งความโลภและความกลัวนี้จำเป็นต้องมีหลักการที่แข็งแกร่งและเครื่องมือที่ทันสมัยเข้ามาช่วย

ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) และผู้ร่วมก่อตั้ง Jitta Wealth สรุปภาพรวมตลาดในช่วงที่ผ่านมา แนวโน้มในอนาคต พร้อมเสนอแนวคิดการลงทุนที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถช่วยให้นักลงทุน “อยู่รอดและเติบโต” ได้ในทุกสภาวะตลาด

ครึ่งปีแรก: บทเรียนราคาแพงจาก “Liberation Day”

ครึ่งปีแรกของปีเริ่มต้นด้วยความผันผวนรุนแรง ตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P 500) ที่กำลังไต่ระดับทำจุดสูงสุดใหม่ กลับดิ่งลงจากจุดสูงสุดกว่า 20% ในเวลาเพียงเดือนกว่าๆ ซึ่งเป็นการปรับตัวลงที่รวดเร็วเป็นรองเพียงวิกฤตโควิดที่เคยทำให้ตลาดร่วงถึง 30% ในเดือนเดียว เหตุการณ์นี้เกิดจากประเด็นสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น หรือที่ถูกกล่าวถึงในชื่อ “Liberation Day” และได้สร้างความตื่นตระหนกไปทั่วโลก บทเรียนสำคัญที่ได้คือ นักลงทุนที่ตื่นกลัวและออกจากตลาดไปคือผู้ที่ผิดหวัง ในขณะที่ผู้ที่ยังคงหนักแน่นและอยู่ในตลาด สามารถเห็นพอร์ตการลงทุนของตนเองฟื้นตัวกลับมาเป็นบวกได้ในเวลาไม่นาน และในวันนี้ ประเด็นร้อนแรงเหล่านั้นก็ดูเหมือนจะเลือนหายไปจากความสนใจของตลาดแล้ว

แนวโน้มครึ่งปีหลัง: ความท้าทายและโอกาสที่ซ่อนอยู่

แม้ความเชื่อมั่นจะกลับมา แต่ความไม่แน่นอนยังคงอยู่ นักลงทุนต้องติดตามปัจจัยสำคัญหลายประการอย่างใกล้ชิด ประการแรกคือสงครามการค้า ที่แม้จุดเลวร้ายที่สุดอาจผ่านไปแล้ว แต่ผลกระทบยังคงอยู่และจะเปลี่ยนโฉมหน้าการค้าโลกไปตลอดกาล ซึ่งนำไปสู่ปัจจัยถัดมาคือความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ อันเป็นผลกระทบจากการขึ้นภาษี ที่จะส่งต่อไปยังราคาสินค้าและผู้บริโภค อย่างไรก็ดี หากมองในเชิงประวัติศาสตร์ เงินเฟ้อที่สูงในปัจจุบันยังไม่น่ากังวลเท่าในอดีตที่สหรัฐฯ เคยเผชิญระดับ 12% หรือแม้กระทั่ง 18% มาแล้ว แต่สุดท้ายตลาดหุ้นก็ยังเติบโตได้ เพราะบริษัทที่แข็งแกร่งสามารถส่งผ่านต้นทุนไปที่ราคาสินค้าและยังคงสร้างกำไรได้ในที่สุด ท้ายที่สุด สมรภูมิที่แท้จริงในระยะยาวคือสงครามเทคโนโลยี ซึ่งเป็นการขับเคี่ยวระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยสหรัฐฯ มองว่า AI คือ New S-Curve ที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต การขึ้นภาษีสินค้านำเข้ายังเป็นการบีบให้ผู้ผลิตทั่วโลกต้องหันมาใช้เทคโนโลยี AI เพื่อลดต้นทุนการผลิต ซึ่งเป็นผลดีต่อบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ในระยะยาว

หัวใจการลงทุนยุคใหม่: กลยุทธ์ Core-Satellite Portfolio

ในโลกที่ซับซ้อนและผันผวน การทุ่มเงินลงทุนทั้งหมดไปในสินทรัพย์หรือตลาดหุ้นประเทศใดประเทศหนึ่งมีความเสี่ยงสูงเกินไป หลักการจัดพอร์ตแบบ Core-Satellite จึงเป็นคำตอบที่เหมาะสมที่สุดสำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่ แนวคิดนี้คือการแบ่งเงินลงทุนออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือ พอร์ตหลัก (Core Portfolio) ซึ่งเป็นเงินส่วนใหญ่ราว 80% เปรียบเสมือนแกนกลางของยานที่แข็งแกร่ง มีเป้าหมายเพื่อสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยราว 8% ต่อปีอย่างมั่นคงในระยะยาว โดยกระจายความเสี่ยงไปทั่วโลก ขณะที่อีก 20% ที่เหลือคือ พอร์ตเสริม (Satellite Portfolio) ซึ่งเป็นส่วนที่ใช้แสวงหาโอกาสเพื่อสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นประมาณ 10-15% ต่อปี ผ่านการลงทุนแบบมุ่งเน้นในสินทรัพย์หรือตลาดที่มีศักยภาพเติบโตสูง

เหตุผลที่สัดส่วน 80/20 ได้รับการแนะนำ คือเพื่อการบริหารความเสี่ยงที่ยอดเยี่ยม หากพอร์ต Satellite ที่มีความเสี่ยงสูงเกิดขาดทุนอย่างหนัก พอร์ต Core ที่เติบโตอย่างมั่นคงจะสามารถสร้างผลตอบแทนมาชดเชยได้ในเวลาไม่นาน ช่วยให้นักลงทุนไม่เจ็บตัวหนักและสามารถอยู่ในตลาดต่อไปได้

เจาะลึกพอร์ตหลัก (Core) และพอร์ตเสริม (Satellite)

พอร์ต Core อย่าง Global ETF ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงได้อย่างชัดเจน โดยพอร์ตแผนเติบโต (Growth) ซึ่งประกอบด้วยหุ้นสหรัฐฯ 56% หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว 16% หุ้นตลาดเกิดใหม่ 8% และหุ้นกู้ 20% ในช่วงที่ตลาดตกต่ำที่สุดของปี พอร์ตนี้ปรับตัวลงจากต้นปีเพียง -8.5% เทียบกับดัชนี S&P 500 ที่ลงไปถึง -14.98% การที่พอร์ตขาดทุนน้อยกว่า ทำให้ฟื้นตัวกลับมาเป็นบวกได้เร็วกว่าตลาดโดยรวม ด้วยกลไกการปรับสมดุลพอร์ตอัตโนมัติ (Rebalancing) ที่จะขายสินทรัพย์ที่ขึ้นมาสูงและเข้าซื้อสินทรัพย์ที่ตกลงไป

ในส่วนของพอร์ตเสริมนั้น ความผิดพลาดส่วนใหญ่ของนักลงทุนคือการ “ซื้อตามข่าว” เพื่อแก้ปัญหานี้ เทคโนโลยี AI อย่าง Market Prediction ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการวิเคราะห์ “แต้มต่อ” หรืออัตราส่วนระหว่างหุ้นดีราคาถูกและหุ้นราคาแพงในแต่ละตลาด ซึ่งชี้ว่าขณะที่หุ้นสหรัฐฯ เริ่มมีแต้มต่อน้อยลง แต่หุ้นจีนและฮ่องกงยังคงมี “แต้มต่อสูง” ด้วยจำนวนหุ้นราคาถูกมากกว่าหุ้นราคาแพงหลายเท่าตัว จึงเป็นตลาดที่น่าลงทุนอย่างยิ่ง แม้ว่าฟันด์โฟลว์จะไหลเข้าฮ่องกงได้ง่ายกว่าจีนแผ่นดินใหญ่ในระยะสั้นก็ตาม

มุมมองต่อตลาดหุ้นไทย: โอกาสในหุ้นปันผล

สำหรับตลาดหุ้นไทย ปัจจุบันได้เข้ามาอยู่ในโซน “ราคาถูก” เช่นกัน โดยมีแต้มต่อใกล้เคียงกับตลาดหุ้นจีน อย่างไรก็ตาม การเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวมอาจไม่สูงเท่าจีน ทำให้กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นไทยเปลี่ยนไป จากเดิมที่เน้นการเติบโต (Growth) มาเป็นการเน้นหุ้นคุณค่าที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอ (Value/Dividend) หรือเปรียบเสมือนการเล่น “กองหลัง” ในทีมฟุตบอล นักลงทุนควรพิจารณาบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งและสามารถจ่ายปันผลได้ในระดับ 5-8% ต่อปี ซึ่งถือเป็นผลตอบแทนที่น่าสนใจในภาวะที่ตลาดมีความไม่แน่นอนสูง

สร้างพอร์ตเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยวินัยและเทคโนโลยี

โลกการลงทุนได้เปลี่ยนไปแล้ว การกระจายความเสี่ยงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็น “ความจำเป็น” และการควบคุมอารมณ์คือ “กุญแจสู่ความสำเร็จ” นักลงทุนยุคใหม่จึงต้องให้ความสำคัญกับการกระจายความเสี่ยงทั่วโลกผ่านกลยุทธ์อย่าง Core-Satellite พร้อมกับใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติเพื่อช่วยตัดสินใจและรักษาวินัยการลงทุน ท้ายที่สุดแล้ว การลงทุนอย่างสม่ำเสมอ (DCA) คือเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการเอาชนะความผันผวนของตลาด ซึ่งได้พิสูจน์แล้วว่า แม้จะเป็นการลงทุนเดือนละ 20,000 บาทอย่างต่อเนื่องในสภาวะตลาดที่ท้าทาย ก็ยังสามารถสร้างพอร์ตให้เติบโตจนแตะหลักล้านบาทได้จริง เพราะไม่มีใครสามารถคาดเดาตลาดได้อย่างแม่นยำ สิ่งที่ดีที่สุดที่เราทำได้คือการสร้างพอร์ตการลงทุนที่แข็งแกร่ง เพื่อให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

‘ปฏิกิริยาต่อ Crypto Week’ การผ่านกฎหมายสินทรัพย์ดิจิทัลครั้งสำคัญของตลาดคริปโทเคอร์เรนซี

เปิดกลยุทธ์ LH Bank ดันกำไร LHFG โตสวนกระแสสำเร็จได้อย่างไร?

×

Share

ผู้เขียน