บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) หรือ NEO ประกาศความสำเร็จในการลดใช้พลาสติกบริสุทธิ์ (Virgin Plastic) ได้ถึง 22% ซึ่งทะลุเป้าหมายปี 2568 ไปแล้วล่วงหน้า สะท้อนความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืน และตอกย้ำวิสัยทัศน์ผู้นำนวัตกรรมที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง
ความสำเร็จครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นตัวเลขที่น่าประทับใจ แต่ยังเทียบเท่ากับการลดขยะขวดน้ำพลาสติกออกจากระบบได้มากถึง 85 ล้านขวด ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากการทำงานหนักและวางแผนอย่างรอบคอบตลอดระยะเวลากว่า 5 ปี
เบื้องหลังความสำเร็จ: นวัตกรรม rHDPE และความทุ่มเท
กัสมา ธรฤทธิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาบรรจุภัณฑ์และพัฒนาองค์กรเพื่อความยั่งยืน ของ NEO เปิดเผยว่า หัวใจสำคัญของความสำเร็จนี้คือการเปลี่ยนมาใช้เม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง rHDPE (Recycled High-Density Polyethylene) ซึ่งมีคุณสมบัติทนทานและมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับพลาสติกใหม่ แต่ใช้พลังงานในการผลิตน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ
“เราใช้เวลากว่า 5 ปีในการศึกษาเทคโนโลยี วิเคราะห์โครงสร้างบรรจุภัณฑ์อย่างละเอียด และทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่าบรรจุภัณฑ์รีไซเคิลของเรายังคงคุณภาพสูงสุด และเหมาะสมกับสายการผลิต” กัสมา กล่าว “ความสำเร็จที่เร็วกว่าคาดนี้ เกิดจากความทุ่มเทของทีมงานที่พร้อมปรับตัวและติดตามเทรนด์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ”
นับตั้งแต่ปี 2563 ถึงไตรมาส 2 ของปี 2567 NEO สามารถลดการใช้ Virgin Plastic ไปได้แล้วถึง 1,698 ตัน หากนำขวดน้ำพลาสติก (ขนาด 600 มล.) ที่ลดไปได้มาเรียงต่อกัน จะมีความยาวถึง 16,980 กิโลเมตร หรือเกือบครึ่งหนึ่งของเส้นรอบวงโลก
ไม่หยุดแค่ BeNice เตรียมขยายผลสู่ D-nee และ Vivite
ผู้บริโภคอาจเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้แล้วจากผลิตภัณฑ์แบรนด์ BeNice ที่หลายรายการเปลี่ยนมาใช้บรรจุภัณฑ์รีไซเคิล 100% และ NEO มีแผนชัดเจนที่จะขยายผลความสำเร็จนี้ไปยังผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์เรือธงอื่นๆ อย่าง D-nee และ Viviteในลำดับต่อไป
นอกจากนี้ บริษัทยังเดินหน้ายกเลิกการใช้พลาสติกประเภท PVC ในบรรจุภัณฑ์ให้เป็นศูนย์ภายในปี 2568 ซึ่งปัจจุบันมีความคืบหน้าไปมากแล้ว ทั้งในส่วนของฝา ปั๊ม สเปรย์ และฉลากสินค้า
จาก “4 Re + 1 Up” สู่เป้าหมายใหญ่ Carbon Neutral
ความสำเร็จด้านบรรจุภัณฑ์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาพใหญ่ภายใต้นโยบาย “sustainNEOvation” ซึ่งบริษัทได้นำหลักการ “4 Re + 1 Up” มาปรับใช้ทั่วทั้งองค์กร โดยมุ่งเน้นการสนับสนุนผลิตภัณฑ์แบบเติม (Refill) การลดใช้ทรัพยากรที่ไม่จำเป็น (Reduce) การนำบรรจุภัณฑ์กลับมาใช้ซ้ำ (Reuse) การเลือกใช้วัสดุที่รีไซเคิลได้และนำไปรีไซเคิล (Recycle) ไปจนถึงการเพิ่มมูลค่าให้วัสดุเหลือใช้ (Upcycle)
ทั้งหมดนี้คือหมุดหมายสำคัญที่ปูทางไปสู่เป้าหมายที่ใหญ่กว่า นั่นคือการก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ภายในปี 2593
“ทุกความสำเร็จในวันนี้ คือบทพิสูจน์ว่า NEO มุ่งมั่นสร้างการเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ ทั้งต่ออุตสาหกรรม สิ่งแวดล้อม และผู้บริโภค ด้วยพลังแห่งนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยหัวใจแห่งความยั่งยืน” กัสมา กล่าวทิ้งท้าย
การเคลื่อนไหวของ NEO ในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจ แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า ธุรกิจที่เติบโตควบคู่ไปกับการดูแลโลกและสังคมอย่างยั่งยืน คือทิศทางที่อุตสาหกรรม FMCG ของไทยและของโลกกำลังมุ่งไป
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ถอดรหัสการลงทุนยุคใหม่: ฝ่ามรสุมความผันผวนด้วยกลยุทธ์และ AI
กสิกรไทยนำทีม ThaiCBN ดัน SME สู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ รับเทรนด์ ESG