ภาคการผลิตไทยซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของประเทศ กำลังเผชิญจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ การมาถึงของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังปลดล็อกศักยภาพการผลิตอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่ในขณะเดียวกันก็เปิดประตูสู่ความเสี่ยงทางไซเบอร์รูปแบบใหม่ที่ซับซ้อนและอันตรายยิ่งขึ้น ผู้เชี่ยวชาญชี้ “ช่องว่าง” ระหว่างทีมไอทีและทีมโรงงาน คือจุดตายที่อาจทำให้ทั้งระบบล่มได้
อุตสาหกรรมการผลิตของไทย ซึ่งมีมูลค่ามหาศาลและเป็นกลไกขับเคลื่อน GDP ของประเทศ กำลังเดินหน้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ การนำระบบอัตโนมัติ, IoT (Internet of Things) และการวิเคราะห์ข้อมูลมาใช้ ได้เพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน จนประเทศไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 10 ของดัชนีภาคการผลิตเอเชียประจำปี 2568
สตีเวน เชอร์แมน รองประธานประจำภูมิภาคอาเซียนของพาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ได้ให้มุมมองว่า AI กำลังจะเข้ามามีบทบาทอย่างยิ่งยวดในภาคการผลิตไทยภายในปี 2573 แม้ปัจจุบันจะมีธุรกิจไทยเพียง 18% ที่ใช้ AI แต่ในแวดวงโรงงานได้เริ่มนำเทคโนโลยีนี้มาประยุกต์ใช้ในหลากหลายมิติ ตั้งแต่การซ่อมบำรุงเชิงคาดการณ์ที่สามารถทำนายการชำรุดของเครื่องจักรก่อนจะเกิดขึ้นจริง ไปจนถึงการควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้แม่นยำยิ่งขึ้น และการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
AI: ฮีโร่และตัวร้ายในร่างเดียว
AI เปรียบเสมือน “ดาบสองคม” ในโลกอุตสาหกรรม ในด้านหนึ่ง AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลมหาศาลแบบเรียลไทม์ ช่วยลดเวลาที่เครื่องจักรหยุดทำงาน เพิ่มผลผลิต และที่สำคัญคือยกระดับการป้องกันภัยไซเบอร์ให้แข็งแกร่งขึ้น โดยสามารถตรวจจับความผิดปกติที่มนุษย์อาจมองข้ามไปได้
แต่อีกด้านหนึ่งที่น่ากังวลคือ อาชญากรไซเบอร์เองก็กำลังใช้ AI เป็นอาวุธในการเจาะระบบเช่นกัน พวกเขาสามารถใช้ AI เพื่อค้นหาช่องโหว่ในระบบเทคโนโลยีเชิงปฏิบัติการ (OT) ซึ่งเป็นสมองกลที่ควบคุมเครื่องจักรในสายการผลิตทั้งหมด หากระบบ OT ถูกโจมตี อาจหมายถึงการหยุดชะงักของสายการผลิตทั้งหมด สร้างความเสียหายทางธุรกิจมหาศาล และอาจเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของพนักงาน
ชี้เป้า “จุดอ่อน” ที่ถูกมองข้าม: ช่องว่างระหว่างทีม IT และ OT
เชอร์แมนได้เน้นย้ำถึงปัญหาที่มักถูกมองข้าม นั่นคือ ความไม่สอดประสานกันระหว่างทีมเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) และทีมเทคโนโลยีเชิงปฏิบัติการ (OT)
ทีม IT มีเป้าหมายหลักในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและระบบคอมพิวเตอร์ของทั้งองค์กร ขณะที่ทีม OT หรือทีมวิศวกรโรงงาน ให้ความสำคัญสูงสุดกับการเดินเครื่องจักรให้ราบรื่นและต่อเนื่อง เพราะการหยุดชะงักคือฝันร้ายของพวกเขา
“ความขัดแย้งในเป้าหมายนี้ก่อให้เกิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัยอย่างไม่น่าเชื่อ” นายเชอร์แมนกล่าว “การมีแค่ AI อย่างเดียวไม่เพียงพอ หากทีม IT และ OT ไม่ทำงานร่วมกันเป็นเนื้อเดียว ก็เปรียบเสมือนการเปิดประตูหลังบ้านทิ้งไว้ให้ผู้ไม่หวังดีเข้ามา”
ทางรอดของผู้ผลิตไทยในยุค AI
เพื่อควบคุมความเสี่ยงและดึงศักยภาพของ AI มาใช้ได้อย่างเต็มที่ ผู้ประกอบการภาคการผลิตจำเป็นต้องปรับตัวเชิงกลยุทธ์ ประการแรกคือการสลายกำแพงระหว่างทีม IT และ OT โดยสร้างวัฒนธรรมการทำงานร่วมกันให้มีเป้าหมายด้านความปลอดภัยไซเบอร์เป็นหนึ่งเดียวเพื่ออุดช่องโหว่ นอกจากนี้ ยังต้องยึดหลักการ “Zero Trust” หรือ “อย่าไว้ใจใคร ตรวจสอบทุกกรณี” ซึ่งทุกการเชื่อมต่อเข้าสู่ระบบเครือข่ายจะต้องถูกตรวจสอบและยืนยันตัวตนเสมอ และสุดท้ายคือการประเมินและอัปเดตเครื่องมือรักษาความปลอดภัยที่ใช้ AI อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ตามทันกลยุทธ์ของอาชญากรไซเบอร์ที่พัฒนาอยู่ตลอดเวลา
อนาคตของภาคการผลิตไทยขึ้นอยู่กับความสามารถในการสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมและความปลอดภัย ซึ่งสอดคล้องกับแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติฯ ของภาครัฐ การลงทุนพัฒนาทักษะแรงงานด้าน AI และไซเบอร์ซีเคียวริตี้จึงเป็นเรื่องเร่งด่วน หากทำได้สำเร็จ อุตสาหกรรมการผลิตของไทยไม่เพียงจะรอดพ้นจากภัยคุกคามยุคใหม่ แต่ยังสามารถเติบโตและแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
UBTECH เปิดบ้านรับสื่ออาเซียนเผยอนาคตหุ่นยนต์และมนุษย์อยู่ร่วมกัน
Meta เปิดสมรภูมิใหม่ ใช้ AI พลิกแชตธุรกิจไทยสู่เครื่องปั๊มกำไร