Share on
×

Share

สภาพัฒน์ชี้ ปัญหาสูงวัย-เบาหวาน ฉุดเศรษฐกิจไทย

ภายในงาน TCP Sustainability Forum 2024 ซึ่งจัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “การรับมือกับน้ำในสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง” (Water Resilience in a Changing Climate) ผู้นำด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม ได้มารวมตัวกันเพื่อหารือเกี่ยวกับความท้าทายที่เร่งด่วนที่สุดในยุคปัจจุบัน รวมถึงปัญหาหนี้สินที่สูงและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทั่วโลก

ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้วิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจไทย โดยชี้ให้เห็นถึงปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และนำเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหา รวมถึงโอกาสทางเศรษฐกิจที่ประเทศไทยอาจจะสามารถคว้าไว้ได้ในอนาคต

โควิด-19 ทำพิษ ดึงเศรษฐกิจไทยตกต่ำ โตช้า

ดร.ศุภวุฒิ ให้ข้อมูลไว้ว่า เศรษฐกิจของประเทศไทย ตกต่ำลงเป็นอย่างมากในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการฟื้นตัวครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ย่ำแย่มาก โดยเผยว่าปกติหากเศรษฐกิจจะฟื้นตัว จะรีบฟื้นตัวและไปต่อได้อย่างรวดเร็ว ซึ่ง 5-6 ไตรมาสที่ผ่านมาค่า GDP (Gross Domestic Product คือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ คำนวณมาจากมูลค่าสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ผลิตในประเทศ ณ ช่วงเวลานั้น) เฉลี่ยสามารถเติบโตได้ไม่ถึง 3% ถือว่าน่าเป็นห่วงมากสำหรับนักเศรษศาสตร์ โดยในไตรมาสที่ 2 ของปี 2024 เติบโตได้ดีขึ้นคือ 2.3% ซึ่งจากการคาดการณ์การเติบโตของ GDP ของประเทศไทยในปี ปี 2023 การเติบโตของ GDP คาดว่าจะอยู่ที่ 1.9% และในปี 2024  คาดว่าจะเติบโตอยู่ในช่วง 2.6-2.7% หลังจากการระบาดของ COVID-19 เศรษฐกิจของประเทศไทยประสบกับการชะลอตัว แต่ในปี 2024 คาดว่าจะเริ่มฟื้นตัว โดยได้คาดการณ์ข้อมูลไว้ดังนี้

ดร.ศุภวุฒิคาดการณ์การเติบโตของ GDP ในปี 2024 ไว้ว่า ในไตรมาส 1 จะเติบโต 1.5% ไตรมาส 2 จะเติบโต 2.3% ไตรมาส 3 จะเติบโต 3.0% และไตรมาส 4 จะเติบโต 3.5%

2 ใน 3 ของ GDP ไทย ยังต้องพึ่งพาต่างประเทศ

หากจะต้องเล่าถึงปัญหาเศรษกิจของประเทศไทย อาจจะต้องมองข้อมูลย้อนหลังไปประมาณถึง 60 ปี จะสังเกตได้ว่าประเทศไทยส่งออกสินค้าและบริการไปยังต่างประเทศในปี 1964 คิดเป็นสัดส่วนของ GDP ปีอยู่ที่ 17.4% การส่งออกสินค้าและบริการมีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จนถึงปี 2023 ที่ 65.4% ของ GDP ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการส่งออกในเศรษฐกิจของประเทศไทย

ข้อมูลนี้ยังบ่งชี้ว่า 2 ใน 3 ของ GDP ของประเทศไทยขึ้นอยู่กับความต้องการจากต่างประเทศ ซึ่งแสดงถึงการพึ่งพาการส่งออกในการเติบโตของเศรษฐกิจ การพึ่งพาการส่งออกนี้ทำให้เศรษฐกิจไทยต้องพึ่งพาการเติบโตของตลาดต่างประเทศเป็นหลัก

ในขณะเดียวกันเองนั้น การบริหารจัดการงบประมาณ และการลดขาดดุลก็ถืออีกหนึ่งเป็นความท้าทายสำคัญ ในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาวของประเทศไทย โดยการเติบโตของ GDP และการขาดดุลงบประมาณในช่วงปี 2022-2023 นั้น เติบโตอยู่ที่ 2.2% ขณะที่การขาดดุลงบประมาณคิดเป็น -4.2% ของ GDP สำหรับปี 2024 คาดว่า GDP จะเติบโตขึ้นเป็น 2.6% และการขาดดุลจะลดลงเหลือ -3.7% ส่วนในปี 2025 คาดการณ์ว่า GDP จะเติบโตเป็น 3.0% และการขาดดุลจะลดลงอีกเป็น -3.4% หากยังคงเป็นเช่นนี้อยู่ท้ายที่สุดแล้วรัฐบาลก็จะมีหนี้มากจนเกินไป

ปัญหาประชากรสูงอายุ ผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว

อีกหนึ่งโจทย์ใหม่ที่เป็นความท้าทายความสำคัญที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ นั่นก็คือเกี่ยวกับปัญหาประชากรสูงอายุ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในเอเชียตะวันออก ประเทศที่มีประชากรสูงอายุในเอเชียตะวันออก เช่น ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ มี GDP ต่อหัวที่สูงถึง $41,000 เมื่อสัดส่วนประชากรสูงอายุเท่ากับของประเทศไทยในปัจจุบันที่ GDP ต่อหัวอยู่ที่ $7,800 ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างในระดับความมั่งคั่งระหว่างประเทศไทยและประเทศเหล่านี้ในช่วงที่ประชากรสูงอายุมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจ

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ จากการที่ประชากรเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็วส่งผลให้เศรษฐกิจ เติบโตช้าลงในระยะยาว รัฐบาลจึงต้องเร่งวางแผนและดำเนินนโยบายเพื่อรับมือกับปัญหานี้ รวมถึงการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการบริหารจัดการงบประมาณเพื่อลดผลกระทบต่อประเทศในอนาคต

โรคเบาหวานในผู้สูงอายุ ศัตรูเศรษฐกิจไทย

อีกหนึ่งปัญหาของคนไทยก็คือปัญหาด้านสุขภาพ โดยดร.ศุภวุฒิ ได้กล่าวว่า โรคที่ควรป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นกับร่างกายมากที่สุดนั่งก็คือ ‘โรคเบาหวาน’ คนไทยบริโภคน้ำตาลประมาณวันละ 26 ช้อนชา ทั้งที่ร่างกายต้องการเพียงแค่ 1 ช้อนชาเท่านั้น ซึ่งสถานการณ์สุขภาพของผู้สูงอายุในประเทศไทยปี 2565 เผยถึงโรคเบาหวานที่กำลังเป็นปัญหาสำคัญของสังคมไทย ในกลุ่มประชากรที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป มีผู้ที่เป็นโรคเบาหวานจำนวนถึง 5.2 ล้านคน หรือคิดเป็น 1 ใน 11 คนของประชากรกลุ่มนี้ 40% ของผู้ป่วยโรคเบาหวานไม่รู้ตัวว่าตนเองป่วย ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงในอนาคต ผู้ป่วยที่ต้องรับการรักษาในปัจจุบันมีจำนวนมากถึง 54.1% หรือ 2.8 ล้านคน และยังมีผู้ป่วยที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ถึง 1 ใน 3 คน หรือประมาณ 0.9 ล้านคน

นอกจากนี้ ยังมีการรายงานจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคเบาหวานที่สูงถึง 200 รายต่อวัน รวมทั้งการเกิดผู้ป่วยรายใหม่ที่เพิ่มขึ้นเป็นแสนคนต่อปี ปัญหานี้ไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงแค่ผู้ป่วยเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขและเศรษฐกิจของประเทศอย่างรุนแรง ปัญหาโรคเบาหวานในกลุ่มผู้สูงอายุในประเทศไทย ควรต้องได้รับความสนใจและการจัดการอย่างเร่งด่วน ทั้งในเรื่องของการป้องกัน การตรวจวินิจฉัย และการรักษา เพื่อที่จะลดจำนวนผู้ป่วยและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

รัฐจีนสนับสนุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และอุตสาหกรรมต่าง ๆ แต่ยังต้องเจอกับสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง

ประเทศจีนถือเป็นประเทศที่แตกต่างและมีความพิเศษกว่าหลาย ๆ ประเทศเนื่องจาก มีสัดส่วนต่อการลงทุนของ GDP สูงมากกว่า 40% หากเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในโลก ซึ่งสัดส่วนของการลงทุนต่อ GDP ของจีนสูงกว่าการบริโภคส่วนบุคคลต่อ GDP อย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้การลงทุนของจีนยังสูงกว่าประเทศไทยถึง 2 เท่า สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลจีนให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรมต่าง ๆ

การเติบโตของภาคอุตสาหกรรมและมูลค่าเพิ่มทางอุตสาหกรรมของจีนเมื่อเทียบกับแนวโน้มก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 พบว่าภาคอุตสาหกรรมของจีนยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่าการลงทุนที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้เกิดกำลังการผลิตที่มากขึ้น และผลักดันให้จีนผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกมากขึ้น นอกจากนี้รัฐบาลจีนยังสนับสนุนและส่งเสริมให้ประเทศจีนผลิตสินค้าอุตสาหกรรม และสินค้าเทคโนโลยี เพราะต้องการให้ประเทศจีนเป็นประเทศมหาอำนาจในด้านสินค้าอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งประเทศไทยก็ถือว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่รับสินค้าจากประเทศจีนเข้ามายังประเทศเป็นจำนวนมาก

แต่ในขณะเดียวกันประเทศจีนก็ยังมีสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงของภาคการผลิตในประเทศจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 ซึ่งมีการรายงานว่าบริษัทอุตสาหกรรมจำนวนมากกำลังประสบปัญหาขาดทุนและล้มละลาย ซึ่งเป็นผลมาจากปัญหาเรื่องกำลังการผลิตส่วนเกิน จากการสำรวจบริษัทกว่า 500,000 แห่ง พบว่า ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2024 มีบริษัทอุตสาหกรรมถึง 30% ที่ขาดทุน และจำนวนบริษัทที่ขาดทุนเพิ่มขึ้นถึง 44% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า

ปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง แต่ครอบคลุมไปถึงอุตสาหกรรมหลักหลายแห่ง เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่มีผู้ผลิตรายใหญ่หลายรายต้องหยุดการผลิต หรือชะลอการผลิตลง อุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ที่กำลังเผชิญกับปัญหาอุปทานส่วนเกิน และอุตสาหกรรมชิปที่มียอดบริษัทล้มละลายสูงถึงเกือบ 11,000 แห่งในปี 2023 สาเหตุหลักของปัญหาที่เกิดขึ้นคือกำลังการผลิตส่วนเกิน ซึ่งหมายความว่ามีการผลิตสินค้าออกมาเกินกว่าความต้องการของตลาด ทำให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรง ราคาสินค้าลดลง และผลกำไรของบริษัทหดตัว

ไทยควรหันมาโฟกัสธุรกิจภาคการเกษตร

หากถามประเทศไทยจะอยู่ได้อย่างไร ก็ต้องตั้งคำถามว่า ‘ประเทศจีนมีจุดอ่อนอย่างไร’ ซึ่งประเทศจีนถือว่าเป็นประเทศที่การเกษตรนั้นไม่ได้ดีเท่าเมือ่เทียบกับหลาย ๆ ประเทศ จึงได้มีการนำเข้าอาหาร โดยในปี 2021 ประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดในการส่งออกอาหารไปยังจีนคือ บราซิล สหรัฐอเมริกา นิวซีแลนด์ และประเทศไทย ซึ่งครอบคลุมสัดส่วนการนำเข้าอาหารของจีนเป็นจำนวนมาก การนำเข้าอาหารของจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตของประชากรและการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาบริโภคอาหารที่มีคุณภาพและหลากหลายมากขึ้น 

นอกจาก 4 ประเทศหลักแล้ว จีนยังนำเข้าอาหารจากประเทศอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น อินโดนีเซีย แคนาดา และออสเตรเลีย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของจีนในการกระจายความเสี่ยงและสร้างความมั่นคงทางอาหาร

สุดท้ายนี้ ดร.ศุภวุฒิกล่าวว่า ดังนั้นหากประเทศไทยยังต้องการร่วมทำธุรกิจการค้ากับจีน จึงควรหันไปโฟกัสที่การส่งออกสินค้าการเกษตรของประเทศให้มากยิ่งขึ้น จะดีที่สุด

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

เซ็นทรัล คิกออฟแคมเปญ “Central 9.9 Sale 2024” คาดดันยอดขายโตกว่า 40%

อีเลคโทรลักซ์ ประกาศเปิดสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ประจำภูมิภาค ที่กรุงเทพฯ

×

Share

ผู้เขียน