ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤติซ้อนวิกฤติ ทั้งสงครามการค้า ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กติกาการค้าระหว่างประเทศกำลังถูกเขียนขึ้นใหม่อย่างสิ้นเชิง สำหรับประเทศไทยซึ่งพึ่งพาการส่งออกเป็นหัวใจหลักของเศรษฐกิจ การอยู่นิ่งเฉยในฐานะ “ผู้ตาม” ไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่นี่คือโอกาสครั้งประวัติศาสตร์ในการพลิกบทบาทสู่การเป็น “ผู้ร่วมออกแบบกติกา” โดยใช้ “ความยั่งยืน” เป็นแต้มต่อสำคัญในการแข่งขัน
นี่คือวิสัยทัศน์ที่นำเสนอโดย วีระพงษ์ ประภา ผู้แทนการค้าไทย และที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ซึ่งได้บรรยายในหัวข้อ “Sustainability in the Shifting Global Trade Dynamics” ภายในงาน Sustrends 2025 Year of Volunteers ที่จัดโดย The Cloud โดยนิยามบทบาทของผู้แทนการค้าไทยว่าเป็นเสมือน “หน่วยม้าเร็ว” ที่ต้องออกไปเปิดตลาดและหาโอกาสใหม่ ๆ ให้กับประเทศ จากประสบการณ์กว่า 15 ปีในภาคประชาสังคมที่ทำงานขับเคลื่อนด้านห่วงโซ่อุปทานที่เป็นธรรม ตั้งแต่ประเด็นประมง IUU, การสร้าง Social Enterprise ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไปจนถึงการเจรจากับบริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่อย่าง Walmart และ Amazon ได้หล่อหลอมความเชื่อมั่นว่า “ความยั่งยืนสามารถสร้างแต้มต่อให้ประเทศไทยในเวทีการค้าโลกได้จริง”
Competitive Sustainability: จากภาระสู่โอกาสที่แข่งขันได้
“ที่ผ่านมา หลายบริษัทจะบอกว่าความยั่งยืนเป็นภาระ เป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แต่ปัจจุบันนี้ โลกเราได้เปลี่ยนไปแล้ว” วีระพงษ์ กล่าว กระแสโลกใหม่ได้เปลี่ยนมุมมองนี้ไปอย่างสิ้นเชิง ผู้บริโภคในตลาดคุณภาพสูงทั้งในสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ต่างเรียกร้องสินค้าที่ผลิตอย่างยั่งยืน สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ และไม่เอาเปรียบแรงงานและชุมชน
เขาได้นิยามแนวคิดนี้ว่า “Competitive Sustainability” หรือ “ความยั่งยืนที่แข่งขันได้” ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนความยั่งยืนให้กลายเป็นโอกาสในการเปิดตลาดใหม่และทำให้สินค้าไทยเป็นที่ต้องการมากขึ้น
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ กรณีที่สหภาพยุโรปออกกฎหมาย EUDR (European Union Deforestation Regulation) ซึ่งห้ามนำเข้าสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำลายป่า แต่ด้วยการทำงานอย่างบูรณาการและมีระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ที่โปร่งใส ทำให้สหภาพยุโรปประเมินให้ประเทศไทยอยู่ใน กลุ่มประเทศความเสี่ยงต่ำ (Low Risk) ซึ่งหมายความว่าสินค้าไทยจะถูกตรวจสอบน้อยกว่าคู่แข่งสำคัญอย่างมาเลเซียและอินโดนีเซีย นี่คือข้อได้เปรียบที่จับต้องได้ นอกจากนี้ การพิสูจน์ได้ว่าห่วงโซ่อุปทานปราศจากการใช้แรงงานทาสหรือแรงงานบังคับ ยังเปรียบเสมือนใบเบิกทางสำคัญในการส่งสินค้าเข้าสู่ตลาดสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และออสเตรเลียอีกด้วย
3 แนวทางปฏิรูป (Reform) เพื่อให้ไทยไม่ตกขบวน
ท่ามกลางกติกาโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง ประเทศไทยจำเป็นต้องปฏิรูปโครงสร้างเพื่อความอยู่รอดและเติบโต โดยนายวีระพงษ์ได้เสนอแนวทางปฏิรูป 3 ประการ หรือ “3 Re” เพื่อสร้างอนาคตที่มั่นคง
- Reform: ปฏิรูปสู่การแข่งขัน ไทยต้องยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยปรับตัวให้เร็วเพื่อตอบสนองตลาดคุณภาพสูง พร้อมทั้งใช้บทบาทการเป็นศูนย์กลางและประตูสู่ภูมิภาค (Gateway to ASEAN) ในการผลักดันเศรษฐกิจสีเขียวและพลังงานสะอาด และที่สำคัญที่สุดคือการสร้างความเข้มแข็ง (Resilience) ให้กับผู้ประกอบการรายย่อย (SME) และเกษตรกรไทย ให้สามารถเข้าถึงความรู้ เงินทุน และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้
- Rebalance: ปรับสมดุลแนวคิด ต้องเปลี่ยนวิธีคิดจากเดิมที่มองว่าความยั่งยืนคือภาระ ให้กลายเป็นความเข้าใจร่วมกันว่ามันคือ “โอกาส” ความยั่งยืนไม่ใช่แค่รายงานประจำปีหรือโลโก้สวย ๆ แต่คือ Mindset ที่ต้องนำไปสู่การปฏิบัติจริงในทุกภาคส่วน ดั่งสุภาษิตแอฟริกาที่ว่า “ถ้าเดินไปคนเดียว เราอาจจะไปได้เร็ว แต่ถ้าเราเดินไปด้วยกัน เราจะไปได้ไกลขึ้น”
- Reimagine: จินตนาการบทบาทใหม่ของไทย ถึงเวลาที่ไทยต้องเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้ตาม” มาเป็น “ผู้ร่วมออกแบบกติกาโลก” ผ่านสิ่งที่เรียกว่า “Proactive Engagement” หรือการเข้าไปมีส่วนร่วมเชิงรุกในการเจรจาต่าง ๆ
“ที่ผ่านมา กฎระเบียบต่าง ๆ อาจจะเขียนที่ Washington D.C., ที่ New York, ที่ลอนดอน แต่จากนี้ไป เสียงจากกรุงเทพฯ เสียงจากอาเซียนจะต้องดังไปให้ถึง” วีระพงษ์ ย้ำ เพื่อสร้างความเข้าใจในบริบทของประเทศไทย และสร้างสมดุลของผลประโยชน์ชาติ เช่น ในการเจรจา FTA ที่ต้องคำนึงถึงผลกระทบด้านราคายาและการเข้าถึงของผู้ป่วยในประเทศ
ประเทศไทยยืนอยู่บนทางแยกสำคัญ ทางเลือกหนึ่งคือการปล่อยให้ตัวเองไหลไปตามกระแสความเปลี่ยนแปลง เป็นผู้ตามในเกมของคนอื่นและมองความยั่งยืนเป็นต้นทุนต่อไป แต่อีกทางเลือกหนึ่งคือการพลิกวิกฤติมาเป็นผู้นำ เร่งสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันผ่านความยั่งยืนที่แข่งขันได้ และเปลี่ยนสถานะของประเทศจากผู้พึ่งพามาเป็นผู้ร่วมกำหนดอนาคต เพื่อสร้างความมั่นคง เป็นธรรม และยั่งยืนให้กับคนไทยทุกคน
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ส่องวิสัยทัศน์ AI และความยั่งยืนจาก TCP และ Microsoft
SCB-ศิริราช พลิกระบบจ่ายเงินรัฐ ลดคาร์บอนเทียบเท่าป่า 10,000 ต้น