Share on
×

Share

เวลาและเงินทุน: UN ชี้ 2 ทรัพยากรพลิกไทยสู่เป้าหมายโลกยั่งยืน (SDGs)

ท่ามกลางเสียงสะท้อนถึงความท้าทายที่เอเชียอาจต้องใช้เวลาอีกกว่า 32 ปีจึงจะบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) และช่องว่างทางการเงินอีกมหาศาลที่ต้องเติมเต็ม เวทีเสวนา Sustrends 2025 Year of Volunteers ได้นำเสนอมุมมองที่แตกต่างออกไป โดย นีฟ คอลิเออร์-สมิธ ผู้แทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ประจำประเทศไทย ได้เปลี่ยนบทสนทนาจากการตอกย้ำปัญหา มาสู่การค้นหาทางออกที่เป็นรูปธรรม โดยชี้ว่าคำตอบนั้นอยู่ในทรัพยากรล้ำค่าสองสิ่งที่เราทุกคนมีอยู่ในมือ นั่นคือ “เวลา” และ “เงินทุน”

นีฟ คอลิเออร์-สมิธ กล่าวว่า แทนที่จะจมอยู่กับตัวเลขของความล้มเหลวหรือผลกระทบจากการไม่ลงมือทำ ถึงเวลาแล้วที่เราต้องหันมาถามว่า “เราจะทำอะไรกับเรื่องนี้ได้บ้าง” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวาระที่ปี 2025 คือปีสากลแห่งการอาสาสมัคร ซึ่งสอดคล้องกับหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลง

เวลา“: พลังแห่งการอาสาสมัครสินทรัพย์ที่ทุกคนลงทุนได้

ก่อนจะกล่าวถึงกลไกทางการเงินที่ซับซ้อน นีฟ คอลิเออร์-สมิธได้เริ่มต้นด้วยทรัพยากรชิ้นแรกที่ทรงพลังและเท่าเทียมที่สุด นั่นคือ “เวลา” เขาชี้ว่าในขณะที่เงินทุนอาจมีจำกัด แต่เวลาคือสินทรัพย์ล้ำค่าที่ทุกคนสามารถลงทุนได้เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง เขาได้ยกย่องพลังของจิตอาสาในฐานะการลงทุนที่ทรงพลังที่สุดรูปแบบหนึ่ง

นีฟ คอลิเออร์-สมิธ เปิดเผยว่าเพียงปีที่ผ่านมา มีผู้คนกว่า 14,600 คนจากทั่วทุกมุมโลก ไม่ว่าจะต่างวัฒนธรรม ต่างสายอาชีพ หรือต่างเขตเวลา ได้ร่วมกันอุทิศเวลาของตนเองเพื่อขับเคลื่อนเป้าหมาย SDGs ผ่านโครงการอาสาสมัครแห่งสหประชาชาติ (UN Volunteers) ซึ่งทำงานครอบคลุมพื้นที่กว่า 69 ประเทศและดินแดน ตัวเลขนี้ไม่ใช่เพียงสถิติ แต่คือข้อพิสูจน์เชิงประจักษ์ว่าทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้นำชุมชน ผู้นำธุรกิจ ศิลปิน หรือบัณฑิตจบใหม่ ต่างก็มีส่วนร่วมในการสร้างความแตกต่างได้ และพลังของพวกเขาสามารถข้ามพ้นพรมแดนและข้อจำกัดทั้งปวง

ในวาระที่ปี 2025 ถูกประกาศให้เป็นปีสากลแห่งการอาสาสมัคร (International Year of Volunteerism) ข้อความนี้จึงยิ่งทรงพลังและเป็นเครื่องเตือนใจว่า การสละเวลาเพื่อส่วนรวมคือจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดในการสร้างแรงกระเพื่อมสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่และยั่งยืน

“เงินทุน”: 3 กลยุทธ์การเงินแห่งอนาคตปิดช่องว่างสู่ความยั่งยืน

ทรัพยากรสำคัญประการที่สองคือ “เงินทุน” ซึ่ง นีฟ คอลิเออร์-สมิธ ได้เสนอแนวทางปฏิบัติ 3 ประการที่จะช่วยระดมและปรับทิศทางเงินทุนให้ไหลไปสู่เป้าหมายที่ยั่งยืน แทนที่จะไปลงทุนในเทคโนโลยีเก่าที่ก่อมลพิษและสร้างความเสียหายในระยะยาว

  1. สร้างนวัตกรรมการเงินภาครัฐ: ต้นแบบจากพันธบัตรที่เดิมพันด้วยความยั่งยืน

รัฐบาลมีบทบาทสำคัญในการสร้างแรงจูงใจผ่านนโยบายงบประมาณและภาษี ประเทศไทยได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำในด้านนี้ โดยในเดือนพฤศจิกายน 2567 ไทยได้กลายเป็นประเทศแรกในเอเชียและเพียงแห่งที่สามของโลกที่ออก “พันธบัตรส่งเสริมความยั่งยืน” (Sustainability-Linked Bond) ซึ่งสามารถระดมทุนได้เกือบหนึ่งแสนล้านบาทภายในกลางปี 2568

ความพิเศษของพันธบัตรนี้คือการสร้างกลไกความรับผิดชอบโดยผูกพันอัตราดอกเบี้ยเข้ากับเป้าหมายความยั่งยืนที่วัดผลได้ หากรัฐบาลไม่สามารถทำตามเป้าหมายที่วางไว้ อัตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายคืนนักลงทุนจะสูงขึ้น เป็นการเดิมพันที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกันผลักดันให้สำเร็จ โดยหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญคือการเพิ่มจำนวนยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (Zero-Emission Vehicles) ให้ได้ถึง 45,000 คันภายในปี 2573 ซึ่งเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดถึง 400%

2. ปรับทิศทางการเงินภาคเอกชน: เปลี่ยนภาระให้เป็นความได้เปรียบทางการแข่งขัน

นีฟ คอลิเออร์-สมิธ ย้ำว่าลำพังภาครัฐนั้นไม่เพียงพอ ภาคเอกชนซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องจักรสำคัญที่ขับเคลื่อนการลงทุนถึง 75% และสร้างงานกว่า 90% ในประเทศไทย ถือเป็นผู้เล่นที่มีพลังมหาศาล ทุกการตัดสินใจของภาคธุรกิจ ตั้งแต่การเลือกใช้วัสดุ การลงทุน ไปจนถึงการบริหารจัดการอาคาร ล้วนส่งผลต่อความยั่งยืนทั้งสิ้น

ปัจจุบัน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้พัฒนาคู่มือเพื่อช่วยให้บริษัทต่าง ๆ นำเป้าหมาย SDGs ไปปรับใช้กับธุรกิจของตนเองได้อย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมให้บริษัทต่าง ๆ เริ่มวัดผลและจัดการผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม (SDG Impact Measurement and Management) เพื่อให้คำมั่นสัญญาไม่ใช่แค่เรื่องในอุดมคติ แต่ต้องวัดผลได้จริง ซึ่งการทำเช่นนี้ไม่ใช่แค่การปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ แต่ยังเป็นการสร้าง “ความได้เปรียบทางการแข่งขัน” ในห่วงโซ่อุปทานและตลาดนักลงทุนทั่วโลกที่กำลังให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้นเรื่อย ๆ

3. ลงทุนในระดับท้องถิ่น: แปลงเป้าหมายโลกสู่การปฏิบัติจริงที่จับต้องได้

เป้าหมายระดับโลกจะกลายเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อถูกนำไปปฏิบัติในระดับท้องถิ่น หรือที่เรียกว่า SDG Localization นีฟ คอลิเออร์-สมิธเปิดเผยว่า UN ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงมหาไทยในการจัดทำ ข้อมูล SDGs ระดับจังหวัด (SDG Provincial Profiles) ให้กับ 15 จังหวัดของไทย เพื่อสร้างแผนที่ยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน ชี้ให้เห็นว่าแต่ละพื้นที่ควรให้ความสำคัญกับเรื่องใด ควรลงทุนที่ไหน และจะระดมทรัพยากรและพลังอาสาสมัครไปสู่จุดที่สร้างประโยชน์สูงสุดได้อย่างไร

แนวทางนี้จะช่วยปลดล็อกเงินทุนสำหรับนวัตกรรมในท้องถิ่นช่วยลดความเสี่ยงให้กับสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการรายย่อยและขนาดย่อมทั่วประเทศ เป็นการทำให้เป้าหมายที่ดูยิ่งใหญ่สามารถจับต้องได้ในระดับชุมชน

นีฟ คอลิเออร์-สมิธ ทิ้งท้ายว่า เป้าหมาย SDGs ไม่ใช่อุปสรรค แต่เป็นสิ่งจำเป็นและเป็นแผนที่นำทางไปสู่โลกที่ดีขึ้นสำหรับทุกคนและการรักษาสิ่งแวดล้อม การลงทุนเวลาผ่านจิตอาสา การสร้างนวัตกรรมการเงินภาครัฐ การปรับทิศทางของภาคเอกชน และการส่งเสริมการลงทุนในท้องถิ่น คือทางเลือกที่พวกเราทุกคน ทั้งในฐานะพลเมือง ชุมชน รัฐบาล และภาคธุรกิจ สามารถร่วมกันทำได้ เพื่อกำหนดคุณภาพชีวิตของคนรุ่นต่อไป และสร้างความยั่งยืนให้กลายเป็นความจริงในวันพรุ่งนี้

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

กรุงเทพฯสีเขียว: ไม่ใช่แค่สิ่งแวดล้อม แต่คือเครื่องมือใหม่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเมือง

รพ.วิมุตพลิกเกมสู่ ‘Tertiary Care’ เจาะตลาดโรคซับซ้อนด้วยโมเดล ‘Health to Home’

×

Share

ผู้เขียน