“การจะสร้างความมั่นคงทางอาหารที่ยั่งยืน จำเป็นต้องคิดถึงคนปลูก คนกิน และระบบนิเวศอื่น ๆ ด้วย” นี่คือประเด็นสำคัญจากเวทีเสวนา “Food Economy สร้างความมั่นคงทางอาหาร คิดถึงคนปลูก-คนกินอย่างยั่งยืน” ภายในงาน Sustrends 2025: Year of Volunteers ที่จัดโดย The Cloud โดย สุภา ใยเมือง กรรมการมูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) ได้มาชวนทบทวนนิยามของ “ความมั่นคงทางอาหาร” (Food Security) ใหม่ทั้งหมด โดยชี้ว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องการมีผลผลิตที่เพียงพอและปลอดภัย แต่คือความท้าทายที่ซับซ้อนซึ่งเชื่อมโยงกับทุกมิติของสังคม ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พฤติกรรมการบริโภค ไปจนถึงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ
การจะสร้างความมั่นคงทางอาหารที่ยั่งยืนได้ จึงจำเป็นต้องมองให้ครบทั้งห่วงโซ่ ตั้งแต่ฐานทรัพยากรการผลิตไปจนถึงจานอาหารของผู้บริโภค โดยมีหัวใจสำคัญคือการปรับตัว สร้างภูมิคุ้มกัน และเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
ภัยพิบัติและความท้าทาย: เมื่อเกษตรกรต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลง
ภาคเกษตรกรรมคือด่านแรกที่ต้องเผชิญหน้ากับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาน้ำท่วมที่รุนแรงและเกิดในพื้นที่ที่ไม่เคยประสบมาก่อน อย่างภาคเหนือในปีล่าสุด หรือสภาพอากาศสุดขั้วอื่น ๆ เช่น อากาศร้อนจัดเกิน 40 องศาเซลเซียส ซึ่งส่งผลกระทบต่อการออกดอกของข้าว หรืออากาศที่ไม่หนาวเย็นพอจนทำให้ลำไยไม่ติดผล ปัญหาเหล่านี้ตอกย้ำว่า แม้จะมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพียงใด การเกษตรก็ยังต้องพึ่งพิงธรรมชาติอยู่เสมอ
บทเรียนสำคัญที่เกิดขึ้นคือ การทำเกษตรเชิงเดี่ยวที่มุ่งเน้นปลูกพืชชนิดเดียวซ้ำ ๆ ไม่ว่าจะเป็นข้าว อ้อย หรือมันสำปะหลังนั้นมีความเสี่ยงสูงมาก เมื่อเกิดภัยพิบัติอาจหมายถึงการสูญเสียผลผลิตทั้งหมดในคราวเดียว สุภาได้ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดจากเหตุการณ์น้ำท่วมหนักที่ศรีสัชนาลัยในปี 2565 ซึ่งทำให้นาข้าวของเกษตรกรเสียหายทั้งหมดก่อนการเก็บเกี่ยว
อย่างไรก็ตาม วิกฤตการณ์ครั้งนั้นได้นำไปสู่การค้นพบแนวทางใหม่ที่น่าสนใจ นั่นคือการหันมาใช้ “ความหลากหลายทางชีวภาพ” โดยเฉพาะการใช้พันธุ์ข้าวพื้นเมืองที่หลากหลาย เกษตรกรพบว่าหลังน้ำลด พวกเขาสามารถปลูกข้าวพันธุ์พื้นเมืองที่ใช้เวลาเติบโตเพียง 2-3 เดือนได้ ทำให้ยังคงมีผลผลิตเลี้ยงชีพได้ แต่ที่น่าสนใจคือ ความรู้นี้ไม่สามารถนำไปใช้ได้กับทุกพื้นที่ เช่นในจังหวัดขอนแก่นที่ประสบปัญหาน้ำท่วมเช่นกัน แต่กลับไม่สามารถใช้วิธีเดียวกันได้ผล ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการแก้ปัญหาต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยและระบบนิเวศของแต่ละพื้นที่ ไม่สามารถใช้สูตรสำเร็จเดียวกันได้
จาก “ความหลากหลาย” สู่ “ภูมิคุ้มกัน” และพลังของผู้บริโภค
การสร้างความหลากหลายในระบบเกษตรไม่ได้จำกัดอยู่แค่พันธุ์พืชชนิดเดียว แต่หมายถึงการสร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์ในพื้นที่เพาะปลูก จากการเก็บข้อมูลในพื้นที่สวนยางพาราภาคใต้ที่ทำในรูปแบบ “สวนสมรม” (อ่านว่า สวน-สม-รม) หรือสวนผสมผสาน พบว่าในพื้นที่เพียง 40 แปลง มีพันธุ์พืชมากกว่า 700 ชนิด ทั้งพืชอาหาร สมุนไพร และพืชใช้สอยอื่น ๆ ขณะที่ไร่นาหมุนเวียนและเกษตรอินทรีย์ในภาคตะวันออกก็พบความหลากหลายของพันธุ์พืชกว่า 100 ชนิดเช่นกัน
ระบบเกษตรที่หลากหลายนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพิงพืชชนิดเดียว แต่ยังเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเกษตรกร ทำให้มีผลผลิตหลากหลายหมุนเวียนตลอดทั้งปี และเป็นการฟื้นฟูระบบนิเวศไปในตัว แต่การจะทำให้ระบบเกษตรเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างยั่งยืน จำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจของผู้บริโภคด้วย ผู้บริโภคต้องตระหนักว่าผลผลิตทางการเกษตรมีฤดูกาล การคาดหวังว่าจะสามารถหาซื้อกะหล่ำปลีหรือผักกาดขาวออร์แกนิกได้ในช่วงฤดูฝนอาจเป็นเรื่องยาก และต้องเรียนรู้ที่จะบริโภคพืชผลอื่นทดแทนตามฤดูกาลนั้น ๆ
นอกจากนี้ การปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมการบริโภค เช่น การลดการบริโภคโปรตีนจากสัตว์ซึ่งใช้ทรัพยากรในการผลิตมหาศาล ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจของภาคอาหารให้มีการกระจายตัวมากขึ้นได้
เชื่อม “ชนบท” และ “เมือง” เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน
ปัจจุบันเริ่มมีคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยที่ตัดสินใจย้ายกลับภูมิลำเนาหรือย้ายไปสู่ชนบทเพื่อทำการเกษตร แต่พวกเขาไม่ได้ทำในรูปแบบเดิม ๆ เหมือนคนรุ่นพ่อแม่ แต่มีการสร้างเครือข่าย นำนวัตกรรม และองค์ความรู้ใหม่ๆ เข้ามาใช้ ตั้งแต่การพัฒนาเมล็ดพันธุ์ไปจนถึงการตลาด เช่น การปลูกมะเขือเทศหรือข้าวที่ควบคุมกระบวนการทั้งหมดตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
ปรากฏการณ์นี้ชี้ให้เห็นถึงโอกาสในการสร้างโครงสร้างเศรษฐกิจที่กระจายตัวสู่ชนบทมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การจะทำให้โอกาสนี้เป็นจริงได้นั้น ต้องอาศัยการวางแผนการใช้พื้นที่ระหว่างเมืองและชนบทอย่างรอบคอบ ในอนาคตเมืองจะขยายตัวมากขึ้น การรุกล้ำของภาคอุตสาหกรรมเข้าสู่พื้นที่เกษตรกรรมจึงเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึง เพื่อสงวนพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ไว้เป็นฐานการผลิตอาหารที่ปลอดภัยและยั่งยืน
ท้ายที่สุดแล้ว สุภาเน้นย้ำว่า ความมั่นคงทางอาหารที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกภาคส่วน ทั้งในเมืองและชนบท เข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบอนาคตร่วมกัน ต้องมีการเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคม กระจายอำนาจ และกระจายความรู้ให้ทั่วถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้คุณค่ากับความรู้และภูมิปัญญาที่มาจากฐานปฏิบัติการของชุมชนและเกษตรกร เพื่อนำมาพัฒนานวัตกรรมร่วมกัน สิ่งเหล่านี้จะทำให้ความมั่นคงทางอาหารไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของเกษตรกรหรือชุมชนใดชุมชนหนึ่ง แต่เป็นความมั่นคงที่ยั่งยืนของคนทั้งประเทศอย่างแท้จริง
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
TNFD: กรอบการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนเกี่ยวกับธรรมชาติ
สศส. – เพชรบุรี ต่อยอดวัฒนธรรมอาหารท้องถิ่น ประกวดรสเพ็ดรีประจำบ้าน หวังสืบทอดสู่คนรุ่นใหม่