การแถลงภาวะสังคมประจำไตรมาส 2 ของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ดนุชา พิชยนันท์ เลขาฯ สภาพัฒน์ ได้ย้ำสองจุดเสี่ยงที่กำลังบ่อนเซาะสังคมไทย หนึ่งคือ ระบบการจ้างงานที่ภาคธุรกิจหันมาจ้างงานแบบชั่วคราวมากขึ้น และสอง สังคมไทยเสี่ยงเสพติด “เงินผ่อน”
ประเด็นแรก ว่าด้วยการจ้างงาน เลขาฯ สภาพัฒน์ชี้ว่า รูปแบบการจ้างงานกำลังเปลี่ยนไป ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ที่เกี่ยวโยงกับอีกหลายปัจจัยทั้งภูมิรัฐศาสตร์ นโยบายภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ฯลฯ โดยปัจจุบัน การจ้างงานแบบสัญญาจ้างและชั่วคราว (พาร์ตไทม์) เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
เลขาฯ สภาพัฒน์ให้ข้อมูลว่าช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สัดส่วนการจ้างงานแบบสัญญาจ้างเพิ่มจาก 6% ในปี 2565 เป็น 42% ในปี 2567 ในห้วงเวลาเดียวกัน การจ้างงานแบบพาร์ตไทม์เพิ่มจาก 4% เป็น 28%
นอกจากรูปแบบการจ้างงาน ที่การจ้างแบบชั่วคราวกำลังมาแทนที่แบบประจำแล้ว เลขาฯ สภาพัฒน์ยังอ้างถึงผลการสำรวจเกี่ยวกับการจ้างงานของ JobsDB ที่พบว่าองค์กรธุรกิจไม่น้อยกว่า 25 องค์กรในไทย มีแนวโน้มจะลดพนักงานลง เพื่อลดต้นทุนและปรับโครงสร้างองค์กรให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น
ประเด็นนี้ เลขาฯ สภาพัฒน์อ้างถึงแบงก์แห่งหนึ่ง (กสิกรไทย-ผู้เขียน) ที่เปิดแคมเปญสมัครใจลาออกตั้งแต่อายุ 45 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นชั้นอายุสำหรับการเออร์ลี่ต่ำสุดที่มีการประกาศเป็นทางการในประวัติศาสตร์การจ้างงานของไทย
ความเป็นไปที่กำลังเกิดในตลาดจ้างงานตามที่กล่าวข้างต้น คือฝันร้ายของมนุษย์เงินเดือนชัด ๆ เพราะจากนี้ไปคนกินเงินเดือนต้องรับมือกับความไม่มั่นคงของการมีงานทำ และต้องเผชิญกับชีวิตหลังเกษียณในความหมายที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เพราะองค์กรธุรกิจที่เลือดเย็นบีบให้เกษียณในช่วงอายุเพิ่งเข้าสู่วัยกลางคน ไม่มีทางที่พนักงานกลุ่มดังกล่าวจะใช้ชีวิตหลังจากนั้นแบบ “เกษียณสุข” ได้เลย
การวางแผนชีวิตไปข้างหน้าแบบผ่อนบ้าน 15 ปี หรือ 20 ปี เป็นไปได้ยากถึงเป็นไปไม่ได้เลย เพราะนับจากนี้การจ้างงานแบบชั่วชีวิตอยู่ยาวกันจนเกษียณคงเป็นแค่เรื่องเล่าเท่านั้น และคนทำงานยุคนี้ต้องทำงานไปพร้อมกับมองหางาน หรือช่องทางใหม่ ๆ ไว้รองรับการเปลี่ยนแปลงที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
อีกประเด็นที่สภาพัฒน์ยังแสดงความเป็นห่วงอย่างยิ่งคือเรื่องหนี้ “หนี้ครัวเรือนผมเรียนมาตลอดว่าเป็นระเบิดเวลาตัวหนึ่ง” ดนุชา ย้ำอีกครั้งในการแถลงข่าวครั้งล่าสุด
สถานการณ์หนี้ครัวเรือนล่าสุดยังอยู่ในระดับ “ทรงสูง” แม้รัฐบาล แบงก์ชาติ กระทรวงการคลัง ตลอดจนแบงก์ต่าง ๆ พร้อมใจกันประกาศมาตรการ “คุณสู้เราช่วย” ออกมาแล้วก็ตาม ข้อมูลล่าสุดถึงไตรมาสแรกของปีที่ผ่านมา มูลค่าหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 16.35 ล้านล้านบาท ลดลง 0.1% จากการขยายตัว 0.2% ในไตรมาสก่อนหน้า ส่งผลให้หนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 87.4% ต่อจีดีพี นอกจากตัวเลขหนี้ครัวเรือนไม่ลดลงแล้ว ยังมีประเด็นปัญหาหนี้รูปแบบใหม่เติมเข้ามา ซึ่งสภาพัฒน์เกรงว่าจะเพิ่มความซับซ้อนให้กับการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทยเข้าไปอีก
ในช่วงแถลง เลขาฯ สภาพัฒน์กล่าวอย่างจริงจังถึงการปล่อยกู้ของแอปพลิเคชันขายของที่มีบริการทางการเงินเพิ่มอำนาจการจับจ่ายแบบ “ซื้อก่อนผ่อนทีหลัง” ให้กับลูกค้า ซึ่งทางสภาพัฒน์กังวลมากว่าการที่แอปฯ เหล่านั้นให้วงเงินกับผู้ใช้บริการในการซื้อสินค้า โดยพิจารณาเงื่อนไขการปล่อยกู้ไม่รัดกุมพอ ไม่ได้ดูภาระหนี้ของลูกหนี้รายนั้นแต่ประการใด คือความเสี่ยงอย่างหนึ่ง
จุดที่เลขาฯ สภาพัฒน์เป็นห่วงอย่างยิ่ง คือการที่บรรดาแอปฯ ขายของเหล่านั้นมีพันธมิตรทั้งร้านอาหาร สถานีบริการน้ำมัน โดยลูกค้าที่ใช้บริการแอปฯ เหล่านั้นสามารถสแกนจ่ายก่อนแล้วค่อยจ่ายหรือผ่อนตามทีหลัง ซึ่งเป็นพฤติกรรมการจับจ่ายที่ทางสภาพัฒน์มองว่ายอมรับไม่ได้ การรับประทานอาหารหรือเติมน้ำมัน ควรเป็นรายการที่จ่ายเต็มไม่สมควรผ่อน หากปล่อยไว้ “ปัญหานี้คงมีความรุนแรงขึ้นตามลำดับ” ดนุชา ย้ำซ้ำ ๆ
ลองเสิร์ชไปที่แอปฯ ขายของชื่อดังพบว่า ช็อปปี้มีบริการซื้อก่อนแล้วค่อยจ่ายหรือผ่อนทีหลังชื่อ Spay Later โดยมีข้อความโฆษณาเชิญชวนว่า / ผ่อนเริ่มต้น 0% / ไม่ต้องดาวน์ / ไม่มีขั้นต่ำกี่บาทก็ได้ / ผ่อนนานสูงสุด 12 เดือน / สมัครได้ไม่ต้องใช้เอกสาร
อีกเจ้ามีบริการเงินลักษณะเดียวกันชื่อ Lazada PayLater โดยระบุเงื่อนไขคล้าย ๆ กันเช่น ช้อปก่อนจ่ายทีหลังตามวงเงินสินเชื่อที่กำหนด (สูงสุด 100,000 บาท) / จ่ายเต็มจำนวนภายใน 40 วันไม่มีดอกเบี้ย / ผ่อนได้นาน 12 เดือน / เป็นต้น
ดูแล้วการเข้าถึงบริการทางการเงินของ 2 แอปฯ ขายของดัง ผ่อนปรนกว่าเมื่อเทียบกับบัตรเครดิต อำนาจซื้อที่ผู้บริโภคได้มาคงเป็นประโยชน์หากจับจ่ายอย่างรอบคอบ แต่ประเภทกินข้าวหลักร้อยเติมน้ำมันแล้วผ่อน ถือเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้อย่างที่เลขาฯ สภาพัฒน์ออกโรงมาตะโกนเตือน
น่าคิดว่า สังคมที่ “ผ่อน” กันตั้งแต่บ้านราคาหลักล้านลงไปถึงมื้ออาหารหลักร้อย สภาวะสังคมจะมีหน้าตาอย่างไร? ในสภาพปัจจุบันที่กลุ่มคนเริ่มทำงานคือกลุ่มที่มีภาระหนี้สูงสุด ขณะผู้เกษียณจำนวนไม่น้อยยังมีภาระหนี้ให้สะสาง ประมาณว่า 38% ของครัวเรือนไทยมีหนี้ครัวเรือน และทุกวันนี้คนไทยมีหนี้กันอย่างน้อย 5 แสนบาทต่อคน
งานนี้แบงก์ชาติ กระทรวงการคลัง อย่าช้า ควรแสดงตัวเป็นเจ้าภาพ เร่งสกัดจุดอ่อน ก่อนที่ปัญหาหนี้รูปแบบใหม่ ๆ จะซ้ำเติมปัญหาหนี้ครัวเรือนที่มีอยู่เดิมให้หนักหน่วงยิ่งขึ้นไปอีก
คุณมองเห็นอะไรกับสังคมที่การจ้างงานประจำค่อย ๆ ลดลง ในขณะที่ผู้คนจำนวนไม่น้อยไม่คิดว่าการผ่อนสินค้าหรือบริการมูลค่าหลักร้อยเป็นสิ่งผิดปกติ
บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน
‘วิทัย รัตนากร’ ผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่ กับโจทย์ท้าทายฟื้นเศรษฐกิจไทย
สงครามชายแดนไทย-กัมพูชา: เปิดความสูญเสียและเจาะลึกข้อตกลงหยุดยิง