Share on
×

Share

ถอดรหัส ‘Power from Home’ พลังจากบ้านที่สร้างอนาคตยั่งยืนได้จริง

ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงาน การสร้างความยั่งยืนไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นภารกิจที่ทุกคนต้องร่วมมือกัน “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้ตอกย้ำความสำคัญของประเด็นนี้ผ่านเวทีเสวนา KTC FIT Talk ครั้งที่ 19 ในหัวข้อ “Power from Home Power for the Future: พลังงานสะอาด จากบ้าน สร้างวันพรุ่งนี้ที่ยั่งยืน” โดยรวบรวมผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญจากทั้งภาครัฐและเอกชนชั้นนำ เพื่อฉายภาพอนาคตและชี้แนวทางให้ผู้บริโภคสามารถเริ่มต้นสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ๆ จากจุดที่ใกล้ตัวที่สุด นั่นคือ “บ้าน” ของเราเอง

เวทีเสวนาครั้งนี้เต็มไปด้วยมุมมองที่น่าสนใจจากทุกภาคส่วน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความพร้อมเพรียงในการขับเคลื่อนประเทศสู่เป้าหมายความยั่งยืน

ทิศทางความยั่งยืน: เมื่อทุกคนมองเห็นเป้าหมายเดียวกัน

ภาพสะท้อนที่ชัดเจนที่สุดจากเวทีเสวนาคือ การพัฒนาที่ยั่งยืนได้กลายเป็นแกนหลักและเป้าหมายร่วมกันของทุกองค์กร โดยเริ่มต้นจากมุมมองของภาครัฐ ซึ่ง จารุวรรณ พิพัฒน์พุทธพันธ์ นักวิทยาศาสตร์ชำนาญการพิเศษ หัวหน้ากลุ่มติดตามและประเมินผล กองพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ได้ย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนว่าการพัฒนาที่ยั่งยืนไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ แต่เป็นสิ่งที่ต้องทำ เพื่อรับมือกับวิกฤตการณ์ที่ซับซ้อนของโลก ทั้งภาวะโลกร้อนจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพจากการทำลายป่า ไปจนถึงความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม

อำนวยพร ประกอบนพเก้า กรรมการผู้จัดการ GULF1 และผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ GULF ในเครือบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (GULF) กล่าวว่า เป้าหมายใหญ่ของ GULF ในการเปลี่ยนผ่านจากเชื้อเพลิงฟอสซิลสู่พลังงานสะอาด โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนให้ถึง 40% ของพอร์ตทั้งหมดภายในปี 2035

เกริกยิ้ม พรพิพัฒน์ผล Smart Residential Director บริษัท เอสซีจี ลีฟวิง แอนด์ เฮาส์ซิง โซลูชัน จำกัด กล่าวว่า แนวคิดเรื่องความยั่งยืนนี้ฝังลึกใน DNA ขององค์กรมากว่า 20 ปี ผ่านปรัชญา “ควรทำให้บ้านที่อ้วน (ใช้พลังงานเยอะ) ผอมลงก่อน” โดยเน้นการสร้าง “Living Comfort” ตั้งแต่การออกแบบที่อยู่อาศัยให้โปร่งสบาย ลดความจำเป็นในการใช้เครื่องปรับอากาศ

ขณะที่ รักพงศ์ อรุณวัฒนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการกลุ่มนักลงทุนสัมพันธ์ กลยุทธ์ และความยั่งยืนองค์กร บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ กล่าวว่า ได้วางตำแหน่งตัวเองเป็นศูนย์กลางที่ผลักดันการบริโภคอย่างรับผิดชอบ ทำให้สินค้าเพื่อความยั่งยืนมีราคาที่สมเหตุสมผลและเข้าถึงได้

และทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้นด้วยการสนับสนุนจากภาคการเงิน ซึ่ง ณัฐสิทธิ์ สุนทราณู ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” กล่าวว่าได้นำกลยุทธ์ ESG มาปรับใช้ในทุกมิติของ KTC อย่างเป็นรูปธรรม ตั้งแต่กระบวนการภายใน เช่น การใช้ Digital Solution เพื่อลดการใช้กระดาษ ไปจนถึงการสร้างประโยชน์ให้แก่สังคมผ่านโครงการให้ความรู้ทางการเงินและความเท่าเทียม

โซลาร์รูฟท็อป: การลงทุนเพื่ออนาคตที่คุ้มค่าและเข้าถึงง่ายขึ้น

สถานการณ์พลังงานและมาตรการรัฐนั้น จารุวรรณให้ข้อมูลว่าการใช้ไฟฟ้าของไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 มีการใช้งานสูงถึง 210,000 ล้านหน่วย และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีกในปีถัดไป ด้วยเหตุนี้ภาครัฐจึงมีมาตรการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปอย่างจริงจัง ผ่านสองแนวทางหลัก คือ โครงการรับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินคืน (Solar Phak Prachachon) ในอัตรา 2.20 บาทต่อหน่วย เป็นระยะเวลา 10 ปี และไฮไลท์สำคัญที่กำลังจะมาถึงคือ “มาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สูงสุด 200,000 บาท” ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนภายในสิ้นปีนี้ โดยมีเงื่อนไขเบื้องต้นคือติดตั้งในบ้านอยู่อาศัยขนาดไม่เกิน 10 กิโลวัตต์พีค และใช้อุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน

ในขณะที่เอกชนพร้อมรับ-ผนึกกำลังสร้าง Ecosystem ท่ามกลางแรงส่งจากภาครัฐ ภาคเอกชนเองก็ได้เตรียมความพร้อมในการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคไว้อย่างรอบด้าน อำนวยพรเล่าถึงการปรับยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญของ GULF จากเดิมที่เป็นผู้ผลิตพลังงานรายใหญ่แบบค้าส่ง (Wholesale) สู่ตลาดค้าปลีกสำหรับครัวเรือน (Retail) โดยตรง ซึ่งเป็นผลจากการสร้าง Synergy ร่วมกับ AIS ภายใต้แบรนด์ “ONE อาทิตย์” การผนึกกำลังนี้ไม่ได้หมายถึงแค่การใช้เครือข่าย AIS Fiber เพื่อการเชื่อมต่อระบบที่เสถียร หรือใช้ช่องทาง AIS Shop ในการเข้าถึงลูกค้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสร้างสรรค์ “Bundle Deal” ที่น่าสนใจ เช่น การติดตั้งโซลาร์พร้อมแพ็กเกจบันเทิงต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความคุ้มค่า ทั้งหมดนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเลือกใช้เทคโนโลยีที่เชื่อถือได้จากพันธมิตรระดับโลกอย่าง Huawei และการให้ความสำคัญสูงสุดกับ “ความปลอดภัย” ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคกังวลใจที่สุด

ขณะที่ในมุมของผู้เชี่ยวชาญด้านโครงสร้างและที่อยู่อาศัยอย่าง SCG เกริกยิ้มชี้ว่าประสบการณ์ด้านหลังคาที่ยาวนานกว่า 80 ปี ทำให้ SCG เข้าใจในทุกมิติของความเสี่ยง SCG จึงพัฒนากระบวนการติดตั้งที่เรียกว่า “Smart SA” ซึ่งเป็นระบบควบคุมคุณภาพ 7 ขั้นตอน ที่ทุกการทำงานบนหลังคาจะถูกตรวจสอบและอนุมัติแบบเรียลไทม์โดยทีมวิศวกรจากสำนักงานใหญ่ เพื่อให้มั่นใจได้ในมาตรฐานสูงสุด

นอกจากนี้ นวัตกรรมการติดตั้งยังถูกออกแบบมาให้ทนทานต่อสภาพอากาศที่รุนแรงขึ้น โดยสามารถต้านทานแรงลมได้ถึง 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พร้อมด้วยแอปพลิเคชันอัจฉริยะ Smart Living Plus ที่ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือมอนิเตอร์ แต่เป็นผู้ช่วยที่คอยแนะนำการใช้พลังงานส่วนเกินให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อสร้าง Lifetime Value หรือคุณค่าตลอดอายุการใช้งานที่ยาวนาน 25-30 ปีให้กับเจ้าของบ้าน

เศรษฐกิจหมุนเวียน: เมื่อของเก่าสร้างคุณค่าใหม่ให้โลก

รักพศ์ กล่าวว่าปัญหาที่ใหญ่กว่าแค่ขยะในบ้าน คือปัญหาของขยะเครื่องใช้ในบ้านไม่ว่าจะเป็นตู้เย็นหรือที่นอนที่ถูกทิ้งเป็นขยะในคูคลอง นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการผลักดันแนวคิด “เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)” อย่างจริงจังผ่านแคมเปญ “เก่าแลกใหม่” (Trade-in) โดยอธิบายว่านี่ไม่ใช่เพียงแค่การรับซื้อสินค้าเก่า แต่เป็นการสร้าง Ecosystem ที่สมบูรณ์แบบที่เรียกว่า “Post-Loop” ซึ่งท้าทายรูปแบบธุรกิจเดิม ๆ ของผู้ค้าปลีกที่เน้นเพียง “ซื้อมา-ขายไป”

โดยโฮมโปรได้ขยายบทบาทของตัวเองออกไปสู่การจัดการตลอดทั้งซัพพลายเชน ตั้งแต่การรวบรวมเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่ากว่า 300,000 ชิ้นในปีที่ผ่านมา การหาพันธมิตรเพื่อแยกชิ้นส่วนอย่างถูกวิธี (Sorting) การส่งต่อไปยังผู้แปรรูป (Converter) เพื่อผลิตเป็นวัสดุรีไซเคิลคุณภาพสูง (Post-Consumer Recycled – PCR) และท้ายที่สุดคือการนำวัสดุ PCR นี้กลับไปเจรจากับผู้ผลิต (Vendor) เพื่อให้นำไปใช้เป็นส่วนประกอบในสินค้าใหม่ที่วางขายในโฮมโปรอีกครั้ง

และในอนาคตจะสร้างระบบ Traceability ให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบได้ว่าสินค้าชิ้นใหม่ที่ซื้อนั้น ผลิตมาจากวัสดุรีไซเคิลจากเครื่องเก่าของใคร ซึ่งจะสร้างการมีส่วนร่วมและความภาคภูมิใจให้กับผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี

ก้าวต่อไปของผู้บริโภค: พลังในมือสู่บ้านที่ยั่งยืน

เมื่อทิศทางจากทุกภาคส่วนชัดเจน คำถามสำคัญคือผู้บริโภคจะเริ่มต้นก้าวต่อไปอย่างไร ในเรื่องนี้ เกริกยิ้มได้ให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์ว่า แม้มาตรการลดหย่อนภาษีจะยังไม่ประกาศใช้ แต่ผู้ที่สนใจสามารถเตรียมตัวล่วงหน้าได้เลย เนื่องจากกระบวนการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปไม่ได้จบในวันเดียว แต่ต้องผ่านขั้นตอนการสำรวจโครงสร้างหลังคา การจัดทำแบบทางวิศวกรรมทั้งแบบโยธาและไฟฟ้าโดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งอาจใช้เวลา 1-2 เดือน การเตรียมเอกสารเหล่านี้ให้พร้อมจะช่วยให้สามารถยื่นขออนุญาตได้ทันทีและหลีกเลี่ยงภาวะคิวที่ยาวเหยียดหลังมาตรการประกาศใช้

ในขณะเดียวกัน ณัฐสิทธิ์ ได้ให้มุมมองว่าการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปคือการลงทุนระยะยาวที่คุ้มค่า เพื่อรับมือกับแนวโน้มค่าไฟฟ้าที่อาจสูงขึ้นในอนาคต และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป เช่น การทำงานจากที่บ้าน หรือการดูแลผู้สูงอายุที่ต้องใช้เครื่องปรับอากาศในเวลากลางวันมากขึ้น ซึ่ง KTC พร้อมเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้การลงทุนนี้เข้าถึงได้ง่ายขึ้นโดยรวบรวมสิทธิประโยชน์จากพันธมิตรทุกรายมามอบให้สมาชิกบัตรฯ ทั้งการผ่อนชำระ 0% หรือโปรโมชันพิเศษต่าง ๆ ภายใต้แนวคิดที่ชัดเจนว่า “เซฟคุณ เซฟโลก ดีต่อโลก ดีต่อกระเป๋า”

ทั้งนี้ ก้าวแรกไม่จำเป็นต้องเป็นการลงทุนใหญ่เสมอไป แต่สามารถเริ่มจากการพิจารณาเลือกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าเบอร์ 5 หรือเลือกซื้อสินค้าที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิล ซึ่งมั่นใจได้ในคุณภาพเพราะมีมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) กำกับดูแลอยู่

อาจกล่าวได้ว่า ทุกภาคส่วนของสังคมไทยได้เดินหน้าสู่เป้าหมายความยั่งยืนอย่างเต็มกำลัง และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ผู้บริโภคทุกคนจะใช้ “พลังจากบ้าน” ของตนเอง เพื่อร่วมกันสร้าง “อนาคตที่ยั่งยืน” ให้เกิดขึ้นจริง

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

เตือนภัย! ไทยอันดับ 1 เป้าโจมตีฟิชชิ่งการเงิน Gigamon แนะกลยุทธ์สู้ภัยคุกคามยุค AI

COBE ลาดพร้าว-สุทธิสาร คอนโดใหม่ SC Asset เพื่อ New Gen ราคาเริ่ม 1.89 ล้าน

×

Share

ผู้เขียน