AI กำลังปฏิวัติทุกอุตสาหกรรม โครงสร้างประชากรเปลี่ยนแปลงเร็วกว่าที่คาดและพลังงานสะอาด กลายเป็นเดิมพันสำคัญของโลก นพ.ศุภชัย ปาจริยานนท์ ถ่ายทอดมุมมองจากเวที World Economic Forum 2025 เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยจะปรับตัวและคว้าโอกาสจากแนวโน้มเหล่านี้ได้อย่างไร
นพ.ศุภชัย ปาจริยานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ไรส์ แอคเซล จำกัด กล่าวว่า “จากการเข้าร่วมงานครั้งนี้ มีหลายประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุย ครอบคลุมทั้งเรื่องของ เทคโนโลยี (Technology), ดิสรัปชัน (Disruption), ปัญญาประดิษฐ์ (AI), พลังงาน (Climate & Energy) และแนวโน้มเศรษฐกิจทั่วโลก อย่างไรก็ตาม หากต้องเลือกหัวข้อที่สำคัญที่สุดในปีนี้ ผมมองว่ามีอยู่ สามประเด็นหลัก ที่ควรให้ความสนใจ ได้แก่ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) โครงสร้างประชากร และความมั่นคงด้านพลังงาน”
AI ปฏิวัติทุกวงการ
เริ่มที่ประเด็น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เทคโนโลยีที่กำลังปฏิวัติทุกวงการ หนึ่งในมุมมองที่น่าสนใจมาจาก Andrew Ng ซึ่งกล่าวว่า “ทุกคนต้องเรียนรู้ AI ให้เร็วที่สุด” ซึ่งเขาได้แบ่งการใช้ AI ออกเป็นสามระดับหลัก ได้แก่
- การนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้งานด้านการเขียนโปรแกรมทดลองทดสอบเป็น Prototype ซึ่งการสร้างต้นแบบผลิตภัณฑ์หรือทดลองแนวคิดใหม่ ๆ โดยในอดีต การพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้องใช้เวลานาน แต่ปัจจุบัน AI ทำให้การสร้างต้นแบบ (Prototype) เร็วขึ้นมาก
- การนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้งานด้านการเขียนโปรแกรมซอฟต์แวร์ที่ใช้ในองค์กรอย่างจริงจัง
- การนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้งานด้านการเขียนโปรแกรมที่มีระบบซับซ้อน
สิ่งที่น่าสนใจคือ AI สามารถเพิ่ม Productivity ได้ 50% หากใช้ในกระบวนการ Prototype การคิดผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ สามารถช่วยได้ถึง 10 เท่า ซึ่งเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า หลายคนต้องเรียนรู้และปรับตัว ธุรกิจที่นำ AI มาปรับใช้ได้เร็ว จะได้เปรียบในการแข่งขัน
อีกแนวโน้มที่น่าสนใจคือ อนาคต “Full Duplex AI” มาแน่นอน เป็น AI ที่สามารถโต้ตอบแบบเรียลไทม์ คล้ายกับมนุษย์ เดิมการสนทนากับ AI เป็นแบบ “ถาม-ตอบ” ทีละคำถาม แต่ในอนาคต AI จะสามารถสนทนาได้ต่อเนื่องแบบ Multimodal Interaction คือรับข้อมูลทั้งเสียง ข้อความ และภาพได้พร้อมกัน เทคโนโลยีนี้พร้อมแล้ว และบริษัทใหญ่ ๆ เช่น OpenAI, Google Gemini กำลังแข่งขันกันเปิดตัวต้องรอติดตาม
ไทยกำลังเข้าสู่ภาวะ “สังคมสูงวัย” อย่างรวดเร็ว
ต่อมา ประเด็นโครงสร้างประชากร จากข้อมูลที่ นพ. ศุภชัย สรุปพบว่า
- ทั้งโลกใช้เวลา 123 ปี ในการเพิ่มประชากรจาก 1 เป็น 2 พันล้านคน
- ใช้เวลา 33 ปี ในการเพิ่มจาก 2 เป็น 3 พันล้านคน
- ใช้เวลา 15 ปี ในการเพิ่มจาก3 เป็น 4 พันล้านคน
- ปัจจุบัน ใช้เวลาเพียง 12 ปี ในการเพิ่มประชากร 1 พันล้านคน
สถิตินี้ ความน่าสนใจคือมีการดาดการณ์ว่า ประชากรโลกจะถึงจุดสูงสุดที่ประมาณ 10 พันล้านคน ก่อนจะเริ่มลดลง เนื่องจากแนวคิดคนเปลี่ยนไป คนรวยมีแนวโน้มอยากมีลูกน้อยลง เพราะต้องการใช้ชีวิตที่สะดวกสบายมากขึ้น
ความน่ากังวลจากเหตุการณ์นี้ ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ภาวะ “สังคมสูงวัย” อย่างรวดเร็ว อัตราการเกิดของไทยอยู่ที่ 1.1 – 1.2% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของเอเชีย แต่เมื่อเปรียบเทียบกับ เกาหลีใต้ อัตราการเกิดของเกาหลีอยู่ที่ 0.72% ต่ำที่สุดในโลก คนรุ่นใหม่ในเกาหลีมีแนวโน้มเลือกไม่แต่งงาน และไม่ต้องการมีลูก ปัญหานี้สำคัญมากเพราะถ้าประชากรลดลง แรงงานในระบบก็ลดลง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยตรง
ความมั่นคงทางพลังงาน
ประเด็นสุดท้าย ความมั่นคงทางพลังงาน (Energy Security) และความยั่งยืน (Sustainability) ซึ่งเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา หลายคนมองว่า พลังงานเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของโลก โดยเฉพาะหลังจากสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน สงครามครั้งนี้ส่งผลโดยตรงต่ออุตสาหกรรมพลังงาน เพราะ รัสเซียเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกพลังงานรายใหญ่ของโลก หลายคนอาจไม่ทราบว่า รัสเซียมีบทบาทสำคัญในการส่งออกถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ โดยมีต้นทุนที่ต่ำที่สุดในโลก แม้แต่กลุ่มโอเปก (OPEC) ยังต้องคำนึงถึงเรื่องนี้
ทั้งนี้ ยุโรปยังคงต้องพึ่งพาพลังงานจากรัสเซียเป็นอย่างมาก นำเข้าก๊าซธรรมชาติประมาณ 50% จากรัสเซีย นำเข้าถ่านหินประมาณ 45% จากรัสเซีย นั่นหมายความว่า หากยุโรปตัดสินใจ หยุดนำเข้าพลังงานจากรัสเซีย อาจเกิดภาวะขาดแคลนพลังงานอย่างรุนแรงถึงขั้นที่ ไฟฟ้าอาจดับทั้งทวีป
อย่างไรก็ตาม ในช่วงโควิดที่ผ่านมายุโรปได้เริ่มปรับตัว เพราะมองว่า ไม่สามารถพึ่งพารัสเซียได้อีกต่อไป และมีแนวโน้มต้องการคว่ำบาตรรัสเซีย ยุโรปจึง เร่งลงทุนในพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) อย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็น พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy) พลังงานลม (Wind Energy) การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ภายในเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมา ยุโรปสามารถลดการนำเข้าถ่านหินจากรัสเซียจาก 45% เหลือ 0% ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่าสนใจ หมายความว่า ไม่มีการนำเข้าถ่านหินอีกแล้ว
พลังงานนิวเคลียร์ฟิวชัน ถูกพูดถึงมากขึ้น
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือ ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเดิม ยุโรปนำเข้าก๊าซธรรมชาติถึง 50% เหลือเพียง 3% เท่านั้น นับเป็นการปรับตัวที่รวดเร็วมาก เมื่อยุโรปลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย จึงต้องพึ่งพลังงานอื่น ๆ อย่างเช่น พลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นพลังงานสะอาด พลังงานน้ำ โดยมีการเพิ่มกำลังผลิตจากเขื่อนให้มากขึ้น
แม้ว่ายุโรปจะลดการนำเข้าจากรัสเซียได้ แต่พวกเขายังต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากประเทศอื่น ซึ่งทำให้ ต้นทุนพลังงานสูงขึ้น ดังนั้น พลังงานที่เป็นพลังงานทางเลือกอื่น ๆ อย่างเช่น พลังงานนิวเคลียร์ฟิวชันหรือพลังงานสะอาด จึงได้รับการพูดถึงมากขึ้น
พลังงานฟิวชันถูกมองว่า อาจเป็นพลังงานทางเลือกที่สามารถเข้ามาทดแทนพลังงานหมุนเวียนได้ ทำให้หลายประเทศเริ่มให้ความสนใจ และมีการลงทุนในเทคโนโลยีนี้มากขึ้น
กลับมามองที่ไทย ปัจจุบัน ไฟฟ้าในประเทศไทยกว่า 70% ยังคงผลิตจากก๊าซธรรมชาติ สะท้อนให้เห็นว่าไทยยังไม่มีความมั่นคงด้านพลังงานเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Energy Security) นี่เป็นประเด็นสำคัญที่ประเทศไทยต้องพิจารณาและเตรียมแนวทางรับมือในอนาคต
โอกาสและความท้าทายของประเทศไทยในเวทีระดับโลก เราจะฉวยโอกาสจากแนวโน้มเหล่านี้ได้อย่างไร
หากย้อนกลับมาที่สามประเด็นหลัก ลำดับแรกปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำคัญที่สุด สิ่งที่ต้องทำเร่งด่วน เร่งอัพสกิลแรงงานทุกระดับ เพื่อให้สามารถใช้ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับคำพูดของ Andrew Ng กล่าวไว้ว่ามันยังไม่สายเกินไป ที่ทุกคนจะเริ่มเรียนรู้ แม้จะอายุมากแล้ว ซึ่งประเทศไทยต้องวางแผนว่าจะทำอย่างไรให้ แรงงานทุกระดับสามารถอัพสกิลด้าน AI ได้อย่างจริงจังและทั่วถึง
ต่อมาความมั่นคงทางพลังงาน ในเวทีดาวอสได้พูดถึงมุมมองต่อประเทศไทย โดยระบุว่าประเทศไทยมีศักยภาพในการก้าวข้ามการใช้พลังงานรูปแบบเดิม ตัวอย่างเปรียบเทียบ สมัยก่อนเราเคยใช้ โทรศัพท์บ้านที่มีสาย ก่อนจะเปลี่ยนเป็น โทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย เช่นเดียวกัน เราสามารถ ก้าวข้ามการใช้พลังงานนิวเคลียร์ฟิชชัน (ซึ่งมีปัญหากัมมันตรังสีตกค้าง) ไปสู่ พลังงานฟิวชัน ได้ แนวทางสำหรับประเทศไทยเราควรศึกษาและลงทุนใน พลังงานฟิวชัน อย่างจริงจัง
อีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญคือ การลงทุนด้าน Data Center ซึ่งกำลังเติบโตในประเทศไทย Amazon, Google, และ Microsoft กำลังเข้ามาตั้งศูนย์ ในอนาคต TikTok กำลังจะตั้ง Data Center ในไทย โดยมีเม็ดเงินลงทุนที่ใหญ่กว่าทุกเจ้า ปัญหาที่ต้องแก้ไข Data Center ใช้พลังงานสูงมาก และต้องใช้พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy 100%) ประเทศไทยจะนำพลังงานสะอาด 100% มาจากไหน? เราต้องพึ่งพาพลังงานน้ำจากลาวหรือไม่? หากประเทศไทย ไม่มีความมั่นคงทางพลังงานสะอาด เราอาจสูญเสียโอกาสในการดึงดูดการลงทุนจากบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก
Inspiration ใหม่ คนไทยต้อง “เลิก SELFIE (Someone Else is Likely to Fix It…Ehh)”
หมายถึง เลิกคิดว่าเรื่องปัญหาพลังงาน AI หรือมลภาวะเป็นปัญหาของคนอื่น เราทุกคนต้องมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา ไม่ใช่แค่ภาครัฐหรือองค์กรใหญ่ เราต้อง ไม่เพิกเฉยต่อปัญหา และ ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลง
สุดท้ายด้าน โครงสร้างประชากร มองว่าคงต้องเพิ่ม Productivity ไทยต้องลงทุนใน AI และเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มศักยภาพของแรงงาน และรักษาความสามารถในการแข่งขัน นี่คือแนวโน้มสำคัญที่ทุกคนต้องจับตามอง และเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตที่กำลังจะมาถึง
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
“ท๊อป จิรายุส” ร่วมประชุม WEF2025 ถกอนาคตการเงินโลกสู่รูปแบบสินทรัพย์ดิจิทัล-โทเคนดิจิทัล
ยูโอบีเผยแนวโน้มปี 2568 โอกาสและความเสี่ยงการลงทุน ในยุคทรัมป์ 2.0