การเดินทางของ Omise ก็เหมือนกับการผจญภัยในโลกเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จากจุดเริ่มต้นที่เป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ บริษัทได้ตัดสินใจครั้งสำคัญหลายครั้ง ตั้งแต่การพลิกธุรกิจ (pivot) มาลุยตลาดระบบชำระเงิน (payment gateway) จนสร้างชื่อเสียงไปทั่วภูมิภาค ขยายปีกภายใต้แบรนด์ Opn และล่าสุด ก็กลับมาอย่างแข็งแกร่งในชื่อ Omise อีกครั้ง พร้อมภารกิจใหม่คือการพัฒนา Payment AI อย่างเต็มกำลัง
จุน ฮาเซกาวา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม Omise เล่าว่าเบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้คือความคิดหลักที่เขาและทีมงานยึดมั่นมาตลอด นั่นคือการเป็น “ผู้สร้างนวัตกรรมและผู้ส่งเสริมเทคโนโลยี” (innovators and technology enablers) Omise ไม่ได้แค่อยากเป็นผู้ให้บริการ แต่ต้องการเป็นพลังขับเคลื่อนที่นำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาช่วยแก้ปัญหาและสร้างโอกาสทางธุรกิจ ทุกๆ การตัดสินใจปรับทิศทางจึงมาจากความตั้งใจที่จะเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีการเงิน (FinTech) ให้ได้
วิสัยทัศน์ที่ว่า “เปิดประตูสู่เศรษฐกิจดิจิทัลสำหรับทุกคน” (Open finance for everyone) ยังคงเป็นเหมือนดาวเหนือนำทางให้ Omise เสมอ จุนเน้นว่าแม้จะมีการปรับเปลี่ยนแบรนด์หรือกลยุทธ์ไปบ้างแต่วิสัยทัศน์นี้ไม่เคยเปลี่ยน ยิ่งในปัจจุบันที่มุ่งเน้น Payment AI ด้วยแล้ว วิสัยทัศน์นี้ยิ่งชัดเจนขึ้น Omise เชื่อว่านวัตกรรมการเงินล้ำ ๆ โดยเฉพาะ Payment AI จะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยทลายกำแพง ทำให้ทุกคน ทุกธุรกิจไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ สามารถใช้บริการการเงินดิจิทัลได้สะดวก ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และเท่าเทียมกันจริง ๆ การพัฒนา Payment AI จึงไม่ใช่แค่การอัปเกรดเทคโนโลยีของบริษัท แต่เป็นการวางรากฐานสำคัญให้เศรษฐกิจดิจิทัลเป็นพื้นที่ที่เปิดกว้างและสร้างประโยชน์ให้ทุกคน
ปฏิวัติวงการด้วย Payment AI: สร้างความแตกต่างที่จับต้องได้
จุน เล่าว่า การทุ่มทุนมหาศาลกับ Payment AI สะท้อนความมุ่งมั่นของ Omise ที่จะเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและมอบสิ่งดี ๆ ที่มีคุณค่าจริง ๆ ให้กับลูกค้า AI ของ Omise ไม่ได้ทำแค่ตรวจจับการทุจริต (fraud detection) เท่านั้น แต่ยังรวมถึงโซลูชันเจ๋ง ๆ อย่าง Omise Agent ผู้ช่วย AI อัจฉริยะสำหรับร้านค้า, Intelligent Routing ระบบเลือกเส้นทางทำธุรกรรมที่ฉลาดสุดๆ ช่วยเพิ่มอัตราสำเร็จและลดต้นทุน, และ Generative Dashboard แดชบอร์ดที่ช่วยสร้างข้อมูลเชิงลึกให้ร้านค้าอัตโนมัติ
Omise มองว่า AI คือเทคโนโลยีที่จะพลิกโฉมอนาคตของระบบการชำระเงิน และโซลูชันเหล่านี้ก็ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาที่พ่อค้าแม่ค้าเจอจริง ๆ ช่วยให้การใช้งานง่ายขึ้น และตัดสินใจทางธุรกิจได้เร็วและแม่นยำกว่าเดิม ในยุคที่เศรษฐกิจดิจิทัลเติบโตเร็วมาก Omise ตั้งเป้าจะเป็นผู้สร้างความเปลี่ยนแปลง (change-maker) ในวงการฟินเทคด้วยพลังของ AI
จุน คาดหวังว่า AI จะเป็นหมัดเด็ดที่ทำให้บริษัทแตกต่างจากคู่แข่ง ทำให้บริการมีประสิทธิภาพขึ้น เร็วขึ้น และตอบโจทย์ผู้ใช้ได้ตรงจุดมากขึ้น ลองนึกภาพ Omise Agent ที่คอยให้คำแนะนำและข้อมูลเชิงลึกกับร้านค้าได้ทันที หรือ Generative Dashboard ที่เปลี่ยนข้อมูลธุรกรรมที่ดูยุ่งยากให้เข้าใจง่าย ช่วยในการวางแผนธุรกิจ ส่วน Intelligent Routing ก็ช่วยให้การจ่ายเงินสำเร็จง่ายขึ้น แถมยังช่วยให้ระบบตรวจจับทุจริตแม่นยำขึ้น ลดความเสี่ยงและเรื่องปวดหัวอย่าง false positive จุนเชื่อว่า AI ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ทุกอย่างในแพลตฟอร์มดีขึ้น แต่ยังเป็นแต้มต่อสำคัญที่ทำให้ Omise โดดเด่น ทั้งในแง่ประสบการณ์ที่ดีของลูกค้า และการช่วยให้ร้านค้าทำธุรกิจง่ายขึ้นและเติบโตได้เร็วยิ่งขึ้น
AI ในโลกฟินเทค
เขากล่าวว่า แน่นอนว่าการนำ AI มาใช้อย่างแพร่หลายในวงการการชำระเงิน แม้จะมีข้อดีมากมาย แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายที่ต้องใส่ใจ โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว (Security and Privacy) เพราะระบบการเงินเกี่ยวข้องกับข้อมูลที่ละเอียดอ่อนมาก ๆ รวมถึงความเสี่ยงจากอคติที่อาจแฝงอยู่ในอัลกอริทึม (Algorithmic Bias) และกฎหมายต่าง ๆ ที่ต้องปฏิบัติตาม Omise เข้าใจดีถึงประเด็นเหล่านี้ และมีแนวทางรับมือที่ชัดเจน โดยยึดหลัก “Secure-by-Design” คือคิดเรื่องความปลอดภัยตั้งแต่เริ่มออกแบบ พัฒนา ไปจนถึงการดูแลรักษาระบบ แถมยังให้ความสำคัญกับความโปร่งใสในการใช้ข้อมูล มีการขออนุญาตผู้ใช้อย่างชัดเจน และทำทุกอย่างด้วยหลักจริยธรรม ส่วนเรื่องอคติของ AI ก็มีการตรวจสอบและปรับปรุงอยู่เสมอ
“เป้าหมายของ Omise คือการใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible AI) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและช่วยยกระดับมาตรฐานวงการนี้ให้ดีขึ้น”
ในระยะยาว จุนมองว่า AI จะเข้ามาเปลี่ยนโลกฟินเทคไปเลยทีเดียว โดยเฉพาะใน 3 เรื่องใหญ่ ๆ คือ การบริการที่รู้ใจแบบเฉพาะบุคคลสุด ๆ (Hyper-Personalization) เช่น การให้คะแนนเครดิตที่ปรับเปลี่ยนได้ทันที หรือแนะนำตัวเลือกการจ่ายเงินที่ใช่สำหรับแต่ละคน; ความฉลาดของซอฟต์แวร์ (Intelligence) ที่จะทำให้หลาย ๆ อย่างเป็นอัตโนมัติมากขึ้น ลดการพึ่งพามนุษย์ลง และการเข้าถึงบริการทางการเงิน (Accessibility) ที่จะทำให้เครื่องมือการเงินที่เคยดูยากกลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคน แม้แต่คนที่ยังเข้าไม่ถึงธนาคาร เขามองว่าสุดท้ายแล้ว AI จะไม่ใช่แค่เครื่องมือที่ช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น แต่จะเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างคน ธุรกิจ และเรื่องเงิน
พิชิตสมรภูมิฟินเทคอาเซียน
สำหรับตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) ที่ทั้งคึกคัก แข่งขันสูง เปลี่ยนแปลงเร็ว และมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมสูงมาก จุน ชี้ว่าใครที่จะเป็นผู้นำในตลาดนี้ได้ต้องมี 3 ปัจจัยสำคัญคือ ความเข้าใจและปรับตัวเข้ากับท้องถิ่น (Local Relevance) เพราะแต่ละประเทศมีความต้องการและพฤติกรรมไม่เหมือนกัน จะใช้วิธีเดียวเหมือนกันหมดไม่ได้; ความสามารถในการเติบโตและขยายตัว (Scalability) เพื่อรองรับการเติบโตอย่างรวดเร็วในหลาย ๆ ตลาดพร้อมกันโดยที่ระบบยังคงเสถียร และความไว้วางใจจากผู้ใช้งาน (Trust) ซึ่งสร้างขึ้นจากระบบที่ปลอดภัย โปร่งใส และการบริการลูกค้าที่ดีเยี่ยม
ในการแข่งขันนี้ Omise วางตัวเป็น “ผู้ส่งเสริมเทคโนโลยี” (technology enabler) ที่อยากช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาคนี้ กลยุทธ์หลักคือการสร้างระบบชำระเงินที่ใช้ง่ายและไร้รอยต่อสำหรับทุกธุรกิจ ช่วยให้พวกเขามอบประสบการณ์การจ่ายเงินที่ดีที่สุดให้ลูกค้า และเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่าน API และ AI จุดยืนของ Omise จึงไม่ใช่แค่ผู้ให้บริการระบบชำระเงิน แต่เป็นผู้ขับเคลื่อนเทคโนโลยีตัวจริง
ทะยานสู่เวทีโลก
เขากล่าวว่า การเข้าซื้อกิจการ MerchantE ในสหรัฐอเมริกา ถือเป็นก้าวใหญ่ของ Omise ในการขยายธุรกิจไปทั่วโลก เป็นโอกาสทองที่จะนำนวัตกรรมและแพลตฟอร์ม API-first ของ Omise ไปรวมพลังกับ MerchantE ที่มีฐานลูกค้าแข็งแกร่งและความเชี่ยวชาญในตลาดอเมริกา เพื่อสร้างบริการ “PayFac-as-a-Service” ที่ครบวงจรสำหรับลูกค้าทั่วโลก แน่นอนว่าการรวมทีมจากคนละซีกโลกย่อมมีความท้าทาย ทั้งเรื่องการปรับผลิตภัณฑ์ วัฒนธรรมองค์กร และวิธีการทำงาน แต่ Omise มองว่านี่คือการ “พลิกโฉมไปด้วยกัน” (mutual transformation) ไม่ใช่การที่ใครต้องปรับเข้าหาใครฝ่ายเดียว โดยมีการตั้งทีมผู้นำร่วม ปรับแผนการตลาด และลงทุนในแพลตฟอร์มที่ใช้ด้วยกันได้ หนึ่งในภารกิจสำคัญก็คือการนำนวัตกรรม AI ของ Omise อย่าง Omise Agent, Intelligent Routing และ Generative Dashboard ไปใช้กับ MerchantE และขยายสู่ตลาดอื่น ๆ ทั่วโลก ซึ่งตอนนี้ทีมงานจากหลายฝ่ายก็กำลังทำงานกันอย่างเต็มที่เพื่อให้การถ่ายทอดเทคโนโลยีเป็นไปอย่างราบรื่น
ศิลปะแห่งการนำและบริหารความเปลี่ยนแปลง
การนำองค์กรฝ่าฟันความท้าทายและขับเคลื่อนนวัตกรรมท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่อต้องทำงานกับทีมงานนานาชาติหลากหลายวัฒนธรรม จุน ยึดหลัก การมองการณ์ไกล (Long-term Thinking) การมีเป้าหมายที่ชัดเจน (Clarity of Purpose) และความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) ในการตัดสินใจ เขามองว่าการตัดสินใจที่ดีไม่ได้มาจากข้อมูลอย่างเดียว แต่ต้องเชื่อมโยงกับวิสัยทัศน์ขององค์กร ต้องฟังทีมงานอย่างลึกซึ้ง และกล้าที่จะลงมือทำแม้บางอย่างจะยังไม่ชัดเจน
วัฒนธรรมองค์กรของ Omise สร้างขึ้นบนเสาหลักสำคัญที่ใช้ได้กับทุกคนทั่วโลก นั่นคือ ความไว้วางใจ (Trust) การให้อิสระในการทำงาน (Autonomy) การมีเป้าหมายร่วมกัน (Shared Purpose) และความกระหายใคร่รู้ (Curiosity) สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือน “ภาษาสากล” ที่ช่วยให้ทีมงานไม่ว่าจะอยู่ที่โตเกียว กรุงเทพฯ สิงคโปร์ หรือแอตแลนตา ทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น
จากเสาหลักเหล่านี้ Omise ได้สร้างแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน เช่น การเปิดโอกาสให้ทุกคนแสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ การให้อำนาจทีมในแต่ละพื้นที่ตัดสินใจได้เองภายใต้วิสัยทัศน์รวม การสร้างบรรยากาศที่กล้าลองผิดลองถูกและเรียนรู้จากความล้มเหลว และการส่งเสริมให้พนักงานมีความคิดริเริ่มและทำงานร่วมกันข้ามทีมผ่านกิจกรรมต่าง ๆ จุนเชื่อว่าความหลากหลายไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นพลังที่ถ้าหากนำมาใช้อย่างถูกทางและทุกคนมุ่งไปในทิศทางเดียวกัน จะสามารถสร้างนวัตกรรมที่ยอดเยี่ยมและยั่งยืนได้อย่างแน่นอน
บทเรียนจากชีวิตผู้ประกอบการ
ตลอดเส้นทางการเป็นผู้ประกอบการของจุน ตั้งแต่สมัยทำ LIFEmee การตัดสินใจครั้งสำคัญที่ Omise ประสบการณ์กับ OmiseGO จนถึงการขยายธุรกิจไปทั่วโลกและการนำ AI มาใช้ เขาได้เรียนรู้ว่า “ความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีอย่างเดียว แต่มันคือเรื่องของความสามารถในการปรับตัว จังหวะเวลาที่ใช่ และทีมงานที่ยอดเยี่ยม”
เขากล่าวว่า ประสบการณ์สอนว่าไอเดียจะดีแค่ไหน แต่ถ้าออกมาไม่ถูกเวลาหรือไม่ตอบโจทย์ตลาดก็ยากที่จะรอด ดังนั้นการรับฟัง ปรับตัว และกล้าที่จะเปลี่ยนจึงสำคัญมาก “อย่างตอนทำ OmiseGO ที่บุกเบิกเรื่อง Blockchain และ DeFi เร็วไปหน่อย ในขณะที่โครงสร้างพื้นฐานและกฎหมายยังตามไม่ทัน ก็เป็นบทเรียนว่านวัตกรรมที่ดีต้องมี “รันเวย์” ที่พร้อมรองรับด้วย”
ส่วนการขยายองค์กรให้ใหญ่ขึ้นก็ทำให้เห็นว่า นอกจากความไว้ใจและวัฒนธรรมที่ดีแล้ว ยังต้องมีระบบที่แข็งแรง จากที่เคยเน้นให้อิสระทีมงานเต็มที่เพื่อให้คล่องตัวในยุคสตาร์ทอัพ พอองค์กรใหญ่ขึ้นก็ต้องหาสมดุลระหว่างการให้อิสระกับการพาทุกคนไปในทิศทางเดียวกันอย่างเป็นระบบ
“บทเรียนที่สำคัญที่สุดสำหรับผม คือการไม่ลืมว่า ‘ทำไม’ เราถึงเริ่มทำสิ่งนี้ เทคโนโลยีมันเปลี่ยนเร็ว เราก็ต้องปรับตัวเก่ง แต่คุณค่าหลักของเราต้องไม่เปลี่ยน เส้นทางผู้ประกอบการมันไม่ได้ง่าย ๆ สบาย ๆ แต่ถ้าเรามีทัศนคติที่ดี มีคนที่ใช่ไปด้วยกัน ความท้าทายต่าง ๆ ก็จะกลายเป็นบทเรียนที่ทำให้องค์กรเราแข็งแกร่งขึ้น”
สำหรับคนรุ่นใหม่ที่ฝันอยากจะสร้างความเปลี่ยนแปลงในวงการฟินเทคหรือเทคโนโลยี จุน มีคำแนะนำสั้น ๆ แต่คมว่า “เดินหน้าให้เร็ว มั่นคง และทำอย่างมีเป้าหมาย” เขากล่าวว่า “ในโลกเทคโนโลยีที่ทุกอย่างหมุนเร็วมาก จังหวะเวลามันสำคัญสุด ๆ อย่ารอให้ทุกอย่างเพอร์เฟกต์แล้วค่อยทำ แต่ให้เริ่มเลย อาจจะเริ่มเล็ก ๆ ลองเร็ว ๆ แล้วก็ปรับปรุงพัฒนาไปเรื่อย ๆ คำว่า ‘เดินหน้าให้เร็ว’ ไม่ได้แปลว่าให้รีบ ๆ ทำส่ง ๆ แต่มันคือการลงมือทำไปพร้อม ๆ กับเรียนรู้จากสิ่งที่เราทำจริง ๆ แบบทันทีทันใด แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องยึดมั่นในสิ่งที่เราเชื่อ และทำอย่างมีเป้าหมาย อย่าไปตามกระแสถ้าเราไม่ได้เชื่อจริง ๆ ว่ามันมีคุณค่า แต่ให้สร้างสิ่งที่แก้ปัญหาได้จริง ๆ การมีเป้าหมายนี่แหละจะเป็นแรงผลักดันให้เราผ่านช่วงเวลาที่ยากๆ ไปได้”
เขาเสริมอีกว่า “พยายามหาคนเก่ง ๆ ที่กล้าจะบอกว่าเราคิดผิด และมีเป้าหมายเดียวกันมาร่วมทีม เพราะเทคโนโลยีอย่างเดียวมันไม่พอ ทีมที่ดีและความไว้ใจกันต่างหากที่จะพาเราไปถึงฝัน และอย่าดูถูกความอดทนและความยืดหยุ่นของตัวเอง เส้นทางนี้มันมีทั้งการเปลี่ยนแปลง ความล้มเหลว และอุปสรรคแน่ ๆ แต่การปรับตัวและลุกขึ้นสู้ต่อไปได้คือคุณสมบัติของผู้นำที่ดี สุดท้ายอย่าลืมว่าเป้าหมายไม่ใช่แค่การสร้างบริษัทให้รวย แต่คือการสร้างอะไรสักอย่างที่มีความหมายกับลูกค้ากับทีมงานของเราและกับโลกที่เราอยากจะเห็นมันเป็นจริง ๆ”
นวัตกรรมที่ไม่เคยหยุดนิ่งในโลกฟินเทค
แม้ว่าวันนี้ AI จะเป็นหัวใจสำคัญของ Omise แต่บริษัทก็ยังคงมองหาและศึกษาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่มีแววว่าจะมาสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับวงการการชำระเงินและฟินเทคในอนาคตอยู่เสมอ ซึ่งรวมถึง Embedded Finance การเงินที่ฝังตัวอยู่ในบริการอื่นๆ ที่ไม่ใช่ธนาคารโดยตรง Decentralized Identity (DID) ระบบยืนยันตัวตนแบบกระจายศูนย์ที่ให้ผู้ใช้เป็นเจ้าของข้อมูลตัวเองมากขึ้น และอาจช่วยให้การทำ KYC/AML ง่ายและปลอดภัยขึ้น และ Programmable Money เงินดิจิทัลที่ตั้งโปรแกรมเงื่อนไขการใช้งานได้ผ่านบล็อกเชน
จุนเชื่อว่าเมื่อเทคโนโลยีเหล่านี้เติบโตเต็มที่ จะช่วยให้บริการทางการเงินเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันของผู้คนได้เนียนขึ้น ปลอดภัยขึ้น และเข้าถึงทุกคนได้มากขึ้น
เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต Omise ได้สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมให้นวัตกรรมเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา โดยให้อิสระและความไว้วางใจทีมงานในการทดลองเทคโนโลยีใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นผ่าน R&D Sprint โปรเจกต์ที่ทำร่วมกันหลาย ๆ ทีม หรือการจับมือกับพาร์ทเนอร์ข้างนอก บริษัทสนับสนุนให้ทุกคนกล้าแสดงความคิดเห็น และมองว่านวัตกรรมเป็น “วิธีคิดของทั้งองค์กร” ไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง
ด้วยวิสัยทัศน์ที่มองไปข้างหน้า แต่ก็พร้อมที่จะลอง ล้มให้เร็ว และปรับตัวอยู่เสมอ Omise ภายใต้การนำของจุน ฮาเซกาวา จึงไม่ได้แค่เตรียมพร้อมรับมือกับอนาคต แต่กำลังร่วมสร้างอนาคตนั้นด้วย เพื่อผลักดันวิสัยทัศน์ “เปิดประตูสู่เศรษฐกิจดิจิทัลสำหรับทุกคน” ให้เป็นจริงต่อไป