Share on
×

Share

TBCSD – TEI – BEDO ผนึกกำลังภาคธุรกิจ สร้างเครือข่าย Biodiversity เพื่อโลกยั่งยืน

ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) เป็นเรื่องที่มีความสัมพันธ์กับทุกภาคส่วน ซึ่งความเปลี่ยนแปลงทางสภาพทางภูมิอากาศได้ส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ ในขณะที่ภาคธุรกิจเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญที่ได้ใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพ ดังนั้น สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) องค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (TBCSD) และสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) ได้ร่วมกันลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) สร้างเครือข่ายภาคธุรกิจเพื่อความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน

ดร. วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ซึ่งเป็นสำนักงานเลขาธิการของ TBCSD ให้ข้อมูลว่า ภาคธุรกิจหลายส่วนได้รับประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพ ดังนั้น จะส่งเสริม อนุรักษ์ และใช้ประโยชน์อย่างไรให้ยั่งยืนและชุมชนได้รับผลประโยชน์ ซึ่งปัจจุบันมีภัยคุกคามความหลากหลายทางชีวภาพจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ปัญหามลพิษ สิ่งแวดล้อม การทำลายพื้นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตต่างๆ รวมทั้งภัยคุกคามจากพืช หรือสัตว์ต่างถิ่น ล้วนเป็นประเด็นสำคัญ

“องค์กรธุรกิจ 46 แห่งที่เป็นสมาชิกของ TBCSD ซึ่งคาดหวังครึ่งหนึ่ง หรือ 26 องค์กรให้ความสำคัญต่อเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ ในระยะเวลา 3 ปีของ MOU ระหว่าง 3 หน่วยงานนี้ โดยความท้าทายของเรื่องนี้คือความยากที่จะวัดได้ จึงพยายามหาเครื่องมือมาช่วย และ BEDO เป็นหน่วยงานหนึ่งที่มีเครื่องมือช่วยจำนวนมาก หากสภาพแวดล้อมดี ความหลากหลายทางชีวภาพจะกลับมา ส่วนด้านการเงิน ทั้ง กลต. และธนาคารแห่งประเทศไทยให้ความสำคัญ ซึ่งเราจะได้หารือร่วมกันกับภาคส่วนี่เกี่ยวข้อง”

ดังนั้น ปลายทางของความร่วมมือนี้ ต้องการให้ภาคธุรกิจให้ความสำคัญต่อความหลากหลายทางชีวภาพ และแหล่งเงินกู้ให้นำเรื่องความหลากหลายเข้าไปอยู่ในการพิจารณาด้วย

ขาดความหลากหลาย ขาดแคลนอาหาร

ภัทรินทร์ ทองสิมา ผู้อำนวยการกลุ่มงานนโยบายและยุทธศาสตร์ กองจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) หน่วยงานภายใต้กระทรวงทรัพยาการธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งทำหน้าที่หน่วยประสานงานกลางว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพกับประชาคมโลก และหน่วยงานต่าง ๆ ของไทย ให้ข้อมูลการดำเนินงานด้านความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย ว่า ความหลากหลายทางชีวภาพหากไม่สมดุล หรือสูญเสียไปนั้นยากที่จะกลับมา จากความเสี่ยงต่างๆ ที่โลกต้องเผชิญในระยะยาว

องค์กรระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ (IUCN) มีข้อมูลว่า มีพืชและสัตว์มากกว่า 47,000 ชนิดที่ถูกคุกคาม ซึ่งนับเป็น 28% ของชนิดพันธุ์ที่เป็นที่รู้จักในโลก ซึ่งอนาคตหากสูญเสียไป จะทำให้ขาดสมดุลทางอาหารที่บริโภค

จัดทำฐานข้อมูลความหลากหลาย

สถานการณ์ของไทยอยู่ในกลุ่มที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง อยู่ลำดับที่ 18 จากกว่า 190 ประเทศทั่วโลก จากการที่ตั้งอยู่ในเขตร้อน หรือป่าฝนเขตร้อน จึงสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเรียนรู้ว่าจะเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตและธุรกิจอย่างไร เพราะเมื่อนำมาประเมินในรายละเอียดแล้วธุรกิจต่างเกี่ยวข้องพึ่งพาความหลากหลายทางชีวภาพไม่มากก็น้อย ถ้าอนาคตสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพไปย่อมส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจแน่

ปัจจุบัน สผ. กำลังรวบรวมข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพจากหน่วยงานต่างๆ เพื่อสร้างฐานข้อมูลความหลากหลายของประเทศ แบ่งเป็นพืชมากกว่า 15,000 ชนิดแต่เพิ่งอยู่ในระบบ 12,000 ชนด สัตว์มากกว่า 20,000 ชนิด จุลินทรีย์ที่นักวิทยาศาสตร์ประเมินว่าในประเทศไทยมีกว่า 200,000 ชนิด แต่ยังรวบรวมได้ 4,000 กว่าชนิด ซึ่งหากหายไปก่อนจะรวบรวมได้จะเป็นที่น่าเสียดายแก่อุตสาหกรรมต่างๆ ที่จะนำจุลินทรีย์รวมถึงแบคทีเรียไปในการผลิตอาหารและยา

แก้ปัญหาสูญเสีย-แก้ปัญหาเงิน

จากกรอบงานคุนหมิง-มอนทรีออล ว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของโลก ซึ่งมี 2 ประเด็นหลักคือ การแก้ไขปัญหาที่เป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ 5 ประการ คือ 1. การใช้เกินศักยภาพ เช่น การจับปลาเกินศักยภาพ 2. การเปลี่ยนแปลงพื้นที่โดยไม่ได้วางแผนจัดการเพียงพอ 3. การระบาดของชนิดพันธุ์ต่างถิ่น 4. มลพิษ 5. การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งความหลากหลายทางชีวภาพมีผลโดยตรงต่อการจัดการสภาพภูมิอากาศ โดยพื้นที่ป่า พื้นที่หญ้าทะเลเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนชั้นดี และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้

ดังนั้น การจัดการความหลากหลายทางชีวภาพจะต้องจัดการไปถึงสาเหตุพื้นฐานด้วย โดยครอบคลุมถึงการเพิ่มพูนความอุดมสมบูรณ์แก่ทุกระบบนิเวศ ดำรงรักษาหรือเพิ่มพูนประโยชน์ที่ได้รับจากธรรมชาติ และแบ่งปันผลประโยชน์จากการใช้ทรัพยากรพันธุกรรมอย่างยุติธรรมและเท่าเทียม

อีกประเด็นสำคัญคือ การแก้ปัญหาช่องว่างทางการเงิน ซึ่งงบประมาณของประเทศไทยได้ประเมินค่าใช้จ่ายในการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพของหน่วยงานภาครัฐลดลงโดยตลอด จาก 0.46% เมื่อปี 2561 เหลือ 0.16% ในปี 2565 อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มการพัฒนากลไกทางเงินออกมาในอนาคต เช่น พันธบัตรต่างๆ เพื่อให้กลไกทางเงินมีสีเขียวมากขึ้น และการพัฒนาควบคู่กับโครงการต่างๆ ที่ทำให้มีความเป็นไปได้ในการลงทุนเพิ่มขึ้น

เปิดทางเอกชนร่วมอนุรักษ์-ฟื้นฟู

กรอบคุนหมิง-มอนทริออล ผ่านมาแล้ว 3 ปี มีเวลาอีก 5 ปีจะทำอย่างไรเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ซึ่งได้แปลงสู่แผนระดับชาติคือ แผนปฏิบัติการด้านความหลากหลายทางชีวภาพระดับชาติ พ.ศ.2566-2570 รวม 3 ยุทธศาสตร์ 12 เป้าหมาย

ยุทธศาสตร์ที่ 1 อนุรักษ์ ฟื้นฟู และขจัดภัยคุกคามต่อความหลากหลายทางชีวภาพ ยุทธศาสตร์ที่ 2 ส่งเสริมเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน และยุทธศาสตร์ที่ 3 สร้างขีดความสามารถ และการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ

1 ใน 12 เป้าหมายที่สำคัญคือ การอนุรักษ์และฟื้นฟู ภาคเอกชนจะมีส่วนร่วมตรงนี้ได้อย่างไร การส่งเสริมเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพจะดำเนินการอย่างไรจึงจะก่อให้เกิดรายได้ลงไปสู่ชุมชน ประชาชนฐานราก และการเพิ่มขีดความสามารถจะปิดช่องว่างทางการเงินได้อย่างไร

ต้องพยายามยิ่งยวดเพิ่มพื้นที่ OECMs

การดำเนินงานระดับประเทศได้ตั้งเป้าหมายระยะยาวในปี 2573 คือ 1. เพิ่มพื้นที่คุ้มครองและอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพเขตพื้นที่คุ้มครอง (OECMs) ของประเทศ อย่างน้อย 30% ทั้งบนบกและในทะเล ซึ่งปัจจุบัน บนบกมีพื้นที่อนุรักษ์ 22% ส่วนเป้าปี 2570 คือ 23% จึงมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง หากนำพื้นที่ป่าชุมชนที่มีศักยภาพ รวมถึงพื้นที่จากภาคเอกชนต่างๆ เข้าร่วม แต่การเพิ่มให้ได้ตามเป้าหมายปี 2573 จะต้องพยายามอย่างยิ่งยวด

ส่วนในทะเล มีพื้นที่อนุรักษ์อยู่ 9% ซึ่งการจะทำให้ได้ตามเป้าหมายต้องพยายามอย่างมาก โดยพื้นที่ที่จะนำมาใช้ได้ เช่น พื้นที่ปิดอ่าว จะช่วยเพิ่มได้ 19% ที่เหลือต้องเป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งรัฐ และเอกชน ที่กำลังพูดคุยกัน เช่น พื้นที่เขตปลอดภัยทางทหาร พื้นที่สัมปทานการผลิตน้ำมัน

2. ดัชนีสถานภาพชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามไม่น้อยลงจากเดิม ซึ่งหากอนุรักษ์ไม่ดีพอจะทำให้ลดลง และ 3. การมีส่วนร่วมของภาคธุรกิจ โดยตั้งเป้าหมายว่า สัดส่วนของบริษัทจดทะเบียนกลุ่ม SET 50 ในตลาดหลักทรัพย์ ที่เปิดเผยข้อมูลการดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพโดยสมัครใจไม่น้อยกว่า 30% หรือ 15 บริษัท และหวังว่าเมื่อเก็บข้อมูลได้มากขึ้นจะตั้งเป้าได้เพิ่มขึ้น ซึ่งภาคเอกชนจะมีส่วนร่วมได้มาก ทั้งเป็นฐานข้อมูลที่อ้างอิงได้

ทั้งนี้ การจัดการความหลากหลายทางชีวภาพนั้น ภาคส่วนต่างๆ มีความสำคัญมาก ไม่ว่าภาครัฐ ที่ออกกฎระเบียบ มาตรการ กลไก ที่เอื้ออำนวยความสะดวกต่อการมีส่วนร่วมจัดการ ภาคการศึกษาที่ดูแลการศึกษา วิจัย ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการฟื้นฟู บริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพมากขึ้น มีแผนบริหารจัดการ กลไก และการปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องโดยตรง และเปิดเผยในรายงานความยั่งยืน

สถานการณ์น่าเป็นห่วงในโซนแดง

ดร.วิจารย์ บรรยายเรื่อง “บทบาทของภาคธุรกิจไทยในการขับเคลื่อนงานด้านความหลากหลายทางชีวภาพ” ว่า ในอนาคตโลกมีปัญหาสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม 3 เรื่อง คือ ความเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ความสูญเสียของความหลากหลายทางชีวภาพ และมลพิษ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกัน และ TBCSD ให้ความสำคัญต่อทั้ง 3 เรื่อง

ทั้งนี้ การประเมิน SDGs ของประเทศไทย ในเรื่องความหลากหลายทางทะเล และทรัพยากรบนบก ล้วนตกอยู่ในโซนสีแดงคล้ายประเทศอื่นๆ ในอาเซียน โดยเฉพาะพื้นที่คุ้มครองในทะเลนั้น ต่ำกว่าเป้าหมายมาก ทั้งมีปัญหามลพิษในทะเลจากพลาสติก และความหลากหลายบนบกมีปัญหาพื้นที่อนุรักษ์ พื้นที่ชุ่มน้ำ ต่างจากประเทศที่ขับเคลื่อนได้ดีอย่างฟินแลนด์ ที่มีนโยบาย และแผนปฏิบัติที่ชัดเจน

“ความหลากหลายทางชีวภาพเกี่ยวข้องกับภาคธุรกิจทุกประเภท เช่น อสังหาริมทรัพย์ที่ต้องทำ EIA (Environmental Impact Assessment) นำต้นไม้มาปลูก ซึ่งต้องไม่ใช่พืชต่างถิ่น และจะทำให้สิ่งมีชีวิตต่างๆ ตามมา”

กรอบอนุสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ต้องการให้ช่วยกันควบคุมอุณหภูมิของโลกไม่ให้เพิ่มเกิน 1.5 องศา ซึ่งถ้าขึ้นไปเป็น 2 องศาระบบนิเวศจะถูกทำลายมาก ความสูญเสียของชนิด ปริมาณ สัดส่วนของความหลากหลายทางชีวภาพ เพียงอุณหภูมิเพิ่มขึ้นครึ่งองศา ความสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เท่า ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญโดยเฉพาะไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม อาศัยแมลงผสมเกสร

การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ 1.5 องศา จะเกิดความสูญเสียของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 4% เพิ่ม 2 องศา สูญเสีย 8% เพิ่ม 3 องศา ความสูญเสียพุ่งเป็น 41% หรือปะการัง หากอุณหภูมิเปลี่ยนไป 1.5 องศา มีผลกระทบ 70-90% เปลี่ยน 2 องศา กระทบ 99% ซึ่งประเทศไทยได้รับผลกระทบแล้วจากการพบปะการังฟอกขาวในพื้นที่ต่างๆ จึงเป็นสิ่งตอกย้ำว่า ทำไมจึงต้องร่วมมือกันดำเนินการเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ

อนุสัญญาความหลากหลายทางชีวภาพจะพูด 3 ส่วนคือ อนุรักษ์ ใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน และแบ่งปันผลประโยชน์ คนที่อยู่กับพื้นที่อนุรักษ์จะได้รับประโยชน์อะไรกับการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ

ภัยคุกคามต่อความหลากหลายทางชีวภาพ ประกอบด้วย การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินและทะเล การใช้ทรัพยากรมากเกินตัว โดยเปรียบเทียบกับโลก ใช้ไป 7 ใบแล้ว ประเทศไทยใช้ไป 85% ส่วนที่เหลืออยู่จะอนุรักษ์ใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนได้อย่างไร การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ปริมาณน้ำ มลพิษของดิน น้ำ อากาศ ซึ่งหากดูแลสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติจะกลับมา และเป็นอาหารให้เราได้ และการแพร่กระจายของสายพันธุ์รุกราน

ความหลากหลายทางชีวภาพเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางอาหาร สุขภาพ อากาศบริสุทธิ์ และความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ภาคธุรกิจล้วนมีส่วนเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะธุรกิจการเกษตร

BEDO แหล่งรวมเครื่องมือช่วย

สุวรรณา เตียรถ์สุวรรณ ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (BEDO) บรรยายเรื่อง “BEDO’s Program on Biodiversity & Business Sustainability” โดยเล่าถึงบทบาทขององค์กรว่า มีบทบาทด้านการใช้ฐานทรัพยากรเพื่อใช้ประโยชน์ในการสร้างรายได้ควบคู่กับการอนุรักษ์ ซึ่งดำเนินการโดยการร่วมมือกับชุมชน การสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน รวมถึงการใช้ฐานข้อมูลนวัตกรรมเพื่อทำให้การใช้ประโยชน์ของความหลากหลายทางชีวภาพให้เป็นไปอย่างยั่งยืน และสร้างความร่วมมือกัน

BEDO จะดูแลพื้นที่ชุมชน ดูว่าในพื้นที่มีทรัพยากรใด และจัดกิจกรรมส่งเสริมต่อยอด เช่น การแปรรูปผลิตภัณฑ์ การจัดทำแหล่งท่องเที่ยว การพัฒนาเพื่อรักษาพันธุ์พืชและสัตว์ หรือธนาคารความหลากหลายทางชีวภาพระดับชุมชนและสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างทุกภาคส่วน จากอนุสัญญาระหว่างประเทศ และแผนปฏิบัติการระดับประเทศ ซึ่งมียุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องในเรื่องการฟื้นฟู การดูแล การเข้าถึงและแบ่งปันอย่างเป็นธรรม รวมถึงมีกลไกอื่นๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถขึ้น และยังมีบทบาทช่วยส่งเสริมให้ภาคธุรกิจเข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์

ทั้งนี้ มีเครื่องมือแนะนำภาคธุรกิจที่จะขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ด้วยหลัก 4 ป. ซึ่งเทียบเท่า ACT-D (ACT-D หรือ Assess, Commit, Transform & Disclose แผนปฏิบัติการระดับสูงของภาคธุรกิจต่อธรรมชาติ) ประกอบด้วย การประเมินตัวเอง หรือธุรกิจ ได้ใช้ฐานวัตถุดิบอย่างไร มีประเด็นการใช้ทรัพยากรที่กระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพอย่างไร นำไปสู่การตั้งเป้าหมายการลด หลีกเลี่ยง การใช้ซ้ำ นำไปสู่การลดค่าใช้จ่าย การดำเนินงานจะต้อง WIN-WIN จากนั้นปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้น และการเปิดเผยข้อมูล

สำหรับเอกชนที่ต้องการเริ่มต้นทำแผนเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ ทาง BEDO มีบริการฝึกอบรม ให้คำแนะนำ จัดแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้บริหารและผู้ปฏิบัติ หรือเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่ทำร่วมกับชุมชน เช่น โครงการการตอบแทนคุณระบบนิเวศ ตามหลักการ PES (Payment for Ecosystem Services) โครงการไม้มีค่า-ป่าครอบครัว

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

KBTG ชู ‘Human First, AI First’ พลิกโฉมธนาคาร ที่ Huawei Summit

โรงไฟฟ้านิวเคลียร์: ทางเลือกแห่งอนาคต หรือความเสี่ยงที่ไทยควรหลีกเลี่ยง?

×

Share