Share on
×

Share

สวรส.-โนโว นอร์ดิสค์ ผนึกกำลัง ยกระดับมาตรฐานวิจัยคลินิกไทย พัฒนาระบบสุขภาพและเศรษฐกิจ

งานวิจัยทางคลินิก เป็นกระบวนการที่ช่วยพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ทั้งด้านยา อุปกรณ์ รวมถึงแนวทางการรักษาใหม่ ๆ ซึ่งนับเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาระบบสุขภาพและการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ทั้งยังตอบโจทย์การดูแลผู้ป่วยในโรคที่ซับซ้อนและหายาก

จากรายงานสถานการณ์ทั่วโลกพบแนวโน้มการทำวิจัยและพัฒนา (R&D) ด้านการแพทย์เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศจีน สหรัฐอเมริกา แอฟริกา และประเทศในเอเชียตามลำดับ ส่วนของประเทศไทยเองก็มีปัจจัยสนับสนุนหลายประการ โดยการประเมินศักยภาพในการเป็นสถานที่ทำวิจัยทางคลินิก ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่ม opportunity tier เนื่องจากมีจำนวนผู้ป่วยที่พร้อมเข้าสู่การรักษาจำนวนมาก จึงมีโอกาสที่ผู้สนับสนุนการวิจัย (sponsors) จากการหาอาสาสมัครเพื่อเข้าร่วมโครงการวิจัยพัฒนายา หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ได้มาก ทดแทนกลุ่มประเทศดั้งเดิมอย่างยุโรป หรืออเมริกา ที่มีค่าใช้จ่ายในการทำวิจัยสูง

ล่าสุด สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และบริษัทโนโว นอร์ดิสค์ ฟาร์มา (ประเทศไทย) จำกัด ได้ลงนามบันทึกความร่วมมือเพื่อยกระดับมาตรฐานวิจัยทางคลินิก และสนับสนุนให้เกิดการขยายโอกาสของการดำเนินงานด้านการวิจัยทางคลินิกในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น

นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการ สวรส. เล่าถึงที่มาของการลงนามร่วมกันครั้งนี้ว่า สวรส. ในฐานะหน่วยบริหารจัดการทุนวิจัยระบบสุขภาพของประเทศ และเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนการวิจัยทางคลินิกของประเทศไทย (Thailand Clinical Research Collaboration หรือ Thailand CRC) ได้มองเห็นความหวังในการขับเคลื่อนเรื่องดังกล่าว เนื่องจากประเทศไทยมีต้นทุนและความพร้อม ทั้งด้านโครงสร้างการบริหารระดับประเทศ และการจัดการทรัพยากรสาธารณสุข ได้แก่ สถานพยาบาลทุกระดับ ตั้งแต่โรงเรียนแพทย์ที่มีศักยภาพสูง ไปจนถึงสถานพยาบาลระดับปฐมภูมิที่กระจายอย่างทั่วถึงในทุกภูมิภาค

“ประเทศไทยมีผู้ป่วยนอกเข้ารับบริการที่โรงพยาบาลปีละ 30 ล้านคน ผู้ป่วยในเกือบ 10 ล้านราย จึงมีคนไข้ที่มีโรคต่าง ๆ ให้ทำวิจัยทางคลินิกซึ่งเป็นงานวิจัยที่มีความน่าเชื่อถือมากที่สุดต่อการนำไปใช้ และทั่วโลกให้ความสำคัญ เช่น พิสูจน์ว่ายาตัวนี้จะใช้ได้ผลไหม เครื่องมือแพทย์นี้จะใช้รักษาโรคนี้ได้ไหม”

อีกทั้งยังมีสถาบันการศึกษาชั้นนำสำหรับผลิตแพทย์และบุคลากรสาธารณสุขหลากหลายสาขา ตลอดจนการมีสถานพยาบาลและระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ครอบคลุมประชาชนทั้งประเทศ เป็นต้น ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้เกิดการเข้าถึงบริการสุขภาพที่จำเป็นของประชาชนอย่างกว้างขวาง

นอกจากความพร้อมและต้นทุนแล้ว ยังต้องการการพัฒนาระบบสนับสนุนด้านอื่นๆ เพิ่มเติม ทั้งการพัฒนาศักยภาพศูนย์วิจัยคลินิกที่ได้มาตรฐานสากลให้กระจายไปยังสถานพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข และดำเนินงานร่วมกันเป็นเครือข่าย การพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้และประสบการณ์ด้านการวิจัยคลินิก รวมทั้งการบริหารจัดการให้เกิดระบบนิเวศที่สนับสนุนให้เกิดการดำเนินการวิจัยทางคลินิกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตลอดจนการบูรณาการระหว่างผู้ดูแลกฎหมายในส่วนกลางและจริยธรรมงานวิจัย การสร้างระบบจัดการข้อมูลสุขภาพ ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างเศรษฐกิจทางด้านสุขภาพให้กับประเทศ และเป็นช่องทางในการเข้าถึงยาใหม่ของอาสาสมัครโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

เพิ่มศูนย์วิจัยเป็น 30 แห่ง

สวรส. เป็นหน่วยงานที่กระทรวงสาธารณสุขเห็นชอบให้จัดตั้งเครือข่ายศูนย์วิจัยคลินิกระดับประเทศ โดยมีเป้าหมายพัฒนาศักยภาพศูนย์วิจัยทางคลินิกที่ได้มาตรฐาน จำนวน 30 ศูนย์ เพื่อพัฒนาบุคลากรทั้งแพทย์ พยาบาล เภสัชกร นักวิจัย ฯลฯ พัฒนาระบบจัดการงานวิจัยเพื่อรองรับงานวิจัยยาและผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ พัฒนาระบบสารสนเทศงานวิจัยทางคลินิกในประเทศ ตลอดจนการขับเคลื่อนการดำเนินงานในรูปแบบเครือข่าย และได้พัฒนาความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีภารกิจทางด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้อง

ปัจจุบัน มีโรงพยาบาลที่ทำวิจัยทางคลินิก 9 แห่งโดยอยู่ในมหาวิทยาลัยเป็นส่วนใหญ่ จึงมีเป้าหมายยกระดับโรงพยาบาลใหญ่ของกระทรวงสาธารณสุขให้ทำวิจัยได้อีกกว่า 20 แห่ง แต่ปีแรกน่าจะได้ประมาณ 8-10 แห่งก่อน

ทั้งนี้ มีโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขที่ทำวิจัยทางคลินิกอยู่บ้าง แต่มีปัญหามาก จากการเบิกจ่ายให้แก่แพทย์ พยาบาลและบุคลากรที่ทำวิจัยโดยตรงไม่ได้ มีปัญหากฎระเบียบการเบิกจ่าย ซึ่งต้องแก้ไขให้การรับทุนวิจัยทำได้อย่างถูกต้อง สร้าง Ecosystems ให้เป็นระบบ เพื่อผลักดันให้โรงพยาบาลขนาดใหญ่ของไทยสามารถทำวิจัยทางคลินิก พิสูจน์ยา เครื่องมือแพทย์ ไปถึงการขึ้นทะเบียนได้ เป็นสถานที่ที่ทำวิจัยได้มาตรฐานสากลจึงเป็นเรื่องที่ต้องพัฒนา และความร่วมมือกับองค์กรที่มีเครือข่าย ทุนวิจัย องค์ความรู้ จะทำให้โรงพยาบาลของไทยทำวิจัยทางคลินิกได้มาก

นอกจากนี้ การมีโรงพยาบาลที่ทำวิจัยทางคลินิกเพิ่มขึ้นจะช่วยลดระยะเวลาทำงานวิจัยที่เคยใช้เวลานานให้มีระยะเวลาสั้นลง เช่น ต้องการอาสาสมัคร 6,000 คน ทำที่โรงพยาบาลใหญ่ 1 – 2 แห่งต้องใช้เวลานาน แต่ถ้ากระจายทั่วประเทศจะลดเวลาลง การขึ้นทะเบียนทำได้เร็วขึ้น คนไทยได้ใช้ยาเร็วขึ้น

เปิดทางความร่วมมือจากภายนอก

ความมือร่วมมือที่มีระยะเวลาเบื้องต้น 3 ปี แต่สามารถต่อได้หากได้ผลดีกับบริษัท โนโว นอร์ดิสค์ ที่มีประสบการณ์ในการดำเนินการวิจัยทางคลินิก และเป็นผู้นำด้านการดูแลสุขภาพระดับโลก ซึ่งถือเป็นความร่วมมือลักษณะนี้เป็นครั้งแรกจะนำไปสู่การขยายโอกาสในการดำเนินงานด้านการวิจัยทางคลินิกในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ตลอดจนการพัฒนาศักยภาพบุคลากร และยกระดับระบบสุขภาพให้เข้มแข็ง ควบคู่กับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้อีกทางหนึ่ง และยังมีองค์กรต่างชาติอื่นๆ ที่สนใจเข้ามาร่วมมืออีก

“บริษัทยาต่างประเทศ ต้องการมาขึ้นทะเบียนในประเทศไทยกันมาก เขามีงบวิจัยปีละหลายพันล้าน แต่ไม่มีคนวิจัยให้ ก็ขึ้นทะเบียนกับ อย. ของไทยไม่ได้ การวิจัยที่จะร่วมมือกันนี้ มีทั้งการพัฒนายา เครื่องมือแพทย์ และวิธีการรักษา นับเป็นจุดเริ่มต้น ซึ่งการจะต่อยอดไปสู่การพัฒนายาที่ผลิตขึ้นเฉพาะบุคคลก็ต้องเริ่มจากจุดนี้ก่อน และยังมีองค์กรเกี่ยวกับยาอื่น ๆ ที่สนใจเข้ามาร่วมมืออีก”

ที่ผ่านมา โรงพยาบาลต่าง ๆ ทั่วประเทศได้ให้บริการผู้ป่วยเป็นจำนวนมาก มีข้อมูลมากมาย หากนำมาทำวิจัยจะเสริมสร้างความน่าเชื่อถือของการให้บริการสาธารณสุขของไทย แต่เมื่อปล่อยทิ้งไปไม่นำมาทำวิจัยก็จะสูญเปล่า

อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ แม้ประเทศไทยจะทำวิจัยทางคลินิกจำนวนมาก แต่ยังน้อยกว่าประเทศใกล้เคียง เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ ไม่ได้ ทั้งที่มีคนไข้ และความพร้อมน้อยกว่าไทย ดังนั้น ไทยจะต้องจัดระบบของประเทศให้เข้มแข็งมากที่สุดที่จะเป็นไปได้ ที่สำคัญการวิจัยยาตัวใหม่ ๆ ที่มีราคาสูง คนไข้ที่อยู่ในโครงการวิจัยจะมีโอกาสได้ใช้ยาโดยไม่มีค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะยากลุ่มมะเร็ง และกระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายโรคไม่ติดต่อเรื้อรังซึ่งเพิ่มขึ้นมาก

เพิ่มคุณภาพชีวิต-สร้างเศรษฐกิจ

เอ็นริโก้ คานัล บรูแลนด์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โนโว นอร์ดิสค์ ฟาร์มา (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงความร่วมมือครั้งนี้ว่า เป็นความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชนครั้งนี้ จะมีส่วนช่วยยกระดับการดูแลสุขภาพ ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนและความเข้มแข็งของระบบสุขภาพไทยในระยะยาว

 เช่น ถ้าร่วมมือกันป้องกันปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้องรัง NCDs เช่น โรคอ้วนที่เป็นปัญหาของคนไทยกว่า 40% หากสร้างนวัตกรรมทางการรักษาขึ้นและได้นำมาทดลองในกลุ่มคนไทย จะได้ความมั่นใจด้านความปลอดภัย และสร้างเศรษฐกิจให้แก่ประเทศไทยได้

ที่ผ่านมา โนโว นอร์ดิสค์ ให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทดลองทางคลินิก รวมถึงได้ขับเคลื่อนนวัตกรรม เพื่อยกระดับผลลัพธ์ด้านสุขภาพ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สังคมมาโดยตลอด ซึ่งช่วงปี 2563 – 2566 การลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาในประเทศไทยเติบโต 25% ต่อปี และปี 2562 – 2566 บริษัทลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาเป็นเงิน 370 ล้านบาท

“การลงทุนดังกล่าวและความร่วมมือกันครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความพร้อมที่จะดำเนินงานร่วมกันในอนาคต รวมถึงโอกาสของการสร้างศักยภาพร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของงาน Clinical Trials Day 2025 ที่มุ่งเน้นความร่วมมือในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและพัฒนาความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และมั่นใจว่าความร่วมมือครั้งนี้จะสร้างนวัตกรรม เพื่อประโยชน์ของคนไทยโดยรวม”

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ยุทธศาสตร์ดิจิทัลคอนเทนต์ไทย: ปั้นคนคุณภาพ บุกตลาดโลก

TBCSD – TEI – BEDO ผนึกกำลังภาคธุรกิจ สร้างเครือข่าย Biodiversity เพื่อโลกยั่งยืน

×

Share