จากกระแสความตื่นตัวด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทั่วโลก ประเทศไทยควรกำหนดยุทธศาสตร์ชาติ ปรับมุมมองจากการพยายามเป็น “ผู้สร้าง” เทคโนโลยี มาสู่การเป็น “ผู้ประยุกต์ใช้ที่ชาญฉลาด” (Sophisticated User) พร้อมระบุว่าอุปสรรคสำคัญที่แท้จริงที่ขัดขวางการเติบโตไม่ได้อยู่ที่การเข้าถึงเทคโนโลยี แต่เป็นปัญหาคอขวดเชิงโครงสร้างด้าน “การพัฒนาบุคลากร” และ “วัฒนธรรม” ที่ต้องการการปฏิรูปอย่างจริงจัง
ข้อสรุปดังกล่าวมาจากเวทีเสวนา “AI จะ Disrupt or Design อนาคตธุรกิจไทย” ในเวที Bangkok AI Week 2025 ซึ่งรวบรวมมุมมองจากผู้มีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศเทคโนโลยีและการลงทุนของประเทศ ได้แก่ กวีวุฒิ เต็มภูวภัทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SCB 10X แซม ตันสกุล CEO & Founder ของ The Capital T และ ดร.ชาญวิทย์ บุญช่วย นายกสมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIEAT) การเสวนาครั้งนี้ได้ให้ภาพที่ชัดเจนถึงความท้าทายและโอกาสของไทยในยุคที่ AI กำลังจะกลายเป็นเทคโนโลยีพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
กำหนดจุดยืนใหม่: จาก “ผู้สร้าง” สู่ “ผู้ใช้ที่ชาญฉลาด”
ดร.ชาญวิทย์ บุญช่วย นายกสมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIEAT) กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ประกอบการด้าน AI ไม่ถึง 100 บริษัท ซึ่งแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับเวียดนามที่มีหลายพันบริษัทสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากโครงสร้างของภาคการศึกษาที่แรงจูงใจของนักวิจัยคือการทำผลงานวิจัยเพื่อตีพิมพ์ ไม่ใช่การนำมาต่อยอดในเชิงพาณิชย์ ประกอบกับวัฒนธรรมในประเทศที่การยอมรับของใหม่ต้องใช้เวลา
“ยอมรับว่าบางครั้งรู้สึกท้อใจที่เราคุยกันเยอะ แต่นั่งทำกันจริงจังน้อยเกินไป”
กวีวุฒิ เต็มภูวภัทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SCB 10X กล่าวว่า AI Startup ที่สามารถแข่งขันในระดับโลกได้ส่วนใหญ่เป็น “Research-based” ซึ่งเป็นสิ่งที่ไทยยังขาดอยู่ แต่นี่คือโอกาสในการกำหนดยุทธศาสตร์ที่เหมาะสม เพราะไม่ใช่ทุกอย่างต้องใช้ AI ถ้าเจอปัญหาที่แก้ได้โดยไม่ใช้ AI จะยิ่งดี เพราะ AI ที่ไม่สร้างมูลค่าคือต้นทุน ตัวอย่างกลยุทธ์ของ SCB 10X ที่เลือกคือ การเป็น “ผู้ใช้ที่ชาญฉลาด” แม้จะพัฒนา “ไต้ฝุ่น LLM” ขึ้นมาเอง แต่ก็ได้เข้าไปลงทุนและใช้บริการจาก Together AI ซึ่งเป็นสตาร์ทตอัพต่างชาติที่ทำให้ต้นทุนการเทรนโมเดลถูกลงกว่า 70% เพื่อนำมาสร้าง Use case ที่วัดผลได้จริง เช่น การสร้าง AI จำลองสถานการณ์ให้พนักงานขายประกันได้ฝึกฝนเพื่อเพิ่ม Conversion Rate
วิเคราะห์ปัญหาคอขวด: วิกฤติ “คน” และระบบนิเวศที่ไม่เอื้อ
เมื่อกำหนดยุทธศาสตร์ได้แล้ว ความท้าทายได้ย้ายมาอยู่ที่การสร้าง “คน” เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์นั้น เป้าหมายระดับชาติที่ตั้งไว้คือผลิตบุคลากร AI ให้ได้ 30,000 คนภายในปี 2027 แต่ความเป็นจริงคือมหาวิทยาลัยผลิตบัณฑิตสายตรงได้เพียงปีละประมาณ 1,000 คน และคาดว่ามีเพียงครึ่งหนึ่งที่เข้าสู่สายงานจริง ทำให้ช่องว่างด้านบุคลากรยังคงกว้างมาก
โครงการ “Super AI Engineer” ซึ่งเป็นหลักสูตรเร่งรัด 6 เดือนแบบไม่มีค่าใช้จ่าย ได้รับการยอมรับว่ามีคุณภาพสูง แต่ยังผลิตบุคลากรได้ในจำนวนจำกัดเพียงปีละประมาณ 200 คน ภาครัฐควรสนับสนุนการขยายขนาดโครงการที่มีประสิทธิภาพอยู่แล้ว แทนที่จะริเริ่มโครงการใหม่ที่อาจซ้ำซ้อน ขณะเดียวกัน แซม ตันสกุล CEO & Founder ของ The Capital T ได้หยิบยกประเด็น “สมองไหล” หรือภาวะ “Flat-out” ที่เขาเห็นคนไทยเก่ง ๆ ไปทำงานและตั้งรกรากในซิลิคอนวัลเลย์โดยไม่กลับมา มาเปรียบเทียบกับเวียดนามที่กำลังอยู่ในภาวะ “Flat-in” ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายดึงดูดคนเก่งกลับประเทศอย่างจริงจัง
แนวทางการปฏิรูป: นโยบายต้องเดินหน้าพร้อมปรับเปลี่ยนวัฒนธรรม
เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ประเทศควรมีแนวทางที่ต้องทำควบคู่กันทั้งในระดับนโยบายและระดับวัฒนธรรม ในระดับนโยบาย วงเสวนามีข้อเสนอที่เป็นรูปธรรมหลายประการ ตั้งแต่การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น Tax Credit ในอัตราสูงถึง 250% สำหรับการลงทุนด้าน R&D และการจ้างงาน AI การจัดตั้งกองทุนสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการใช้ GPU แก่สตาร์ตอัพ ไปจนถึงการทบทวนกฎหมาย PDPA ให้ยืดหยุ่นพอที่จะเอื้อต่อการสร้างนวัตกรรม
อย่างไรก็ตาม ปัญหาเชิงโครงสร้างและวัฒนธรรมถูกมองว่าเป็นอุปสรรคที่ใหญ่กว่า การดำเนินโครงการของภาครัฐที่ขาดการบูรณาการ เช่น กรณีแอปพลิเคชันที่ซ้ำซ้อน ถูกนำมาเปรียบเทียบกับความสำเร็จของ “พร้อมเพย์” ซึ่งเกิดขึ้นได้จาก Leadership ที่แข็งแกร่งของธนาคารแห่งประเทศไทยที่สามารถจัดวาง Incentive ให้กับธนาคารพาณิชย์ที่เป็นคู่แข่งกันให้ร่วมมือกันได้สำเร็จ ต่างจากระบบราชการที่แต่ละหน่วยงานอาจมี KPI เพื่อสร้างแอปฯ ของตนเองโดยไม่คำนึงถึงภาพรวม
ประเด็นที่สำคัญที่สุด คือการเรียกร้องให้เกิดการปฏิวัติวัฒนธรรมการลงทุนและการเป็นผู้ประกอบการ กวีวุฒิระบุว่า “สังคมไทยต้องเปลี่ยนจากการชื่นชมคนที่ประสบความสำเร็จแล้ว มาเป็นการให้ความสำคัญและสนับสนุนคนที่กำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นดิ้นรน” เขาชี้ว่าความมั่งคั่งในประเทศส่วนใหญ่ยังอยู่ในสินทรัพย์แบบดั้งเดิม และความท้าทายคือทำอย่างไรให้การลงทุนในสตาร์ทอัพที่มีความเสี่ยงสูง (Angel Investing) กลายเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจและ “เท่” ในสายตาของนักลงทุน
ภาพอนาคตและคำแนะนำเชิงปฏิบัติ
สำหรับแนวโน้มในอนาคต แซมได้ให้มุมมองจากงานวิจัยว่าอาชีพกว่า 96% อาจได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะงานตัวกลางเช่นล่าม ขณะที่กวีวุฒิเชื่อว่ามนุษย์จะปรับตัวและสร้างอาชีพใหม่ ๆ ขึ้นมาแทนที่ และอาจนำไปสู่การเกิดโมเดลธุรกิจแบบ “One-Person Unicorn” ที่ใช้ AI ขับเคลื่อนทั้งองค์กร แต่ความเสี่ยงร่วมที่ทุกคนเห็นตรงกันคือ “ช่องว่างทางรายได้” ที่จะกว้างขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับคำแนะนำแก่ผู้ประกอบการ SME ที่ต้องการเริ่มใช้ AI ผู้ร่วมเสวนาแนะนำว่าไม่ควรเริ่มต้นที่ตัวเทคโนโลยี แต่ให้เริ่มจากการวิเคราะห์ “งบการเงิน” ของตนเอง เพื่อหาว่าต้นทุนส่วนไหนใหญ่ที่สุด จากนั้นจึงมองหาโซลูชัน AI ที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหานั้นโดยตรง เช่น ระบบบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะสำหรับธุรกิจโรงแรมที่มีค่าไฟฟ้าสูง นอกจากนี้ ควรเริ่มต้นจากงานที่ทำซ้ำ ๆ เช่น การสแกนและคีย์ข้อมูลจากใบแจ้งหนี้ หรือการใช้ AI แปลภาษาเพื่อให้บริการลูกค้าต่างชาติ ซึ่งสามารถเห็นผลด้านการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพได้รวดเร็ว