Share on
×

Share

พลิกโฉมวงการแพทย์ไทย: AI ผู้ช่วยอัจฉริยะ เพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัย

วงการสาธารณสุขไทยกำลังนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาประยุกต์ใช้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง ทั้งในด้านภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ การเข้าถึงการรักษา และความแม่นยำในการวินิจฉัยโรค

จากการเสวนาหัวข้อ “AI for Precision Health, caring for people and the planet” ในงาน Bangkok AI Week 2025 โดยผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขา ได้แก่ รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงโสฬพัทธ์ เหมรัญช์โรจน์ รองคณบดีฝ่ายนวัตกรรมแนวบูรณาการและเทคโนโลยีดิจิทัล คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศศินันท์ วรเกรียงไกร Vice President, Business Development จาก Perceptra และ จิรเมธ คิญชกวัฒน์ AI Engineer จาก CARIVA (Thailand) ได้ร่วมกันให้เห็นภาพอนาคตอันใกล้ของวงการแพทย์ไทยที่ขับเคลื่อนด้วย AI ได้อย่างน่าสนใจ

AI วินิจฉัยโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น: ค้นหาเร็ว รักษาไว เพิ่มโอกาสรอดชีวิต

หนึ่งในประโยชน์ที่ชัดเจนที่สุดของ AI คือความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลทางการแพทย์ที่มีปริมาณมหาศาลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ซึ่งนำไปสู่การตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงโสฬพัทธ์ เหมรัญช์โรจน์ รองคณบดีฝ่ายนวัตกรรมฯ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าว่า ทีมแพทย์จุฬาฯ ได้พัฒนา AI ที่สามารถทำงานร่วมกับเครื่องอัลตราซาวด์ทั่วไป เพื่อช่วยวินิจฉัยก้อนในตับได้ถึง 7 ชนิด ทำให้บุคลากรในโรงพยาบาลชุมชนที่อาจไม่เชี่ยวชาญ สามารถคัดกรองมะเร็งตับได้อย่างแม่นยำถึง 95% ภายในเวลาฝึกฝนเพียง 1 วัน ซึ่งเป็นการนำผู้เชี่ยวชาญไปสู่พื้นที่ห่างไกลและช่วยชีวิตผู้ป่วยได้จริง

ศศินันท์ วรเกรียงไกร Vice President, Business Development จาก Perceptra กล่าวว่า บริษัท Perceptra ได้พัฒนา AI ที่ช่วยวิเคราะห์ภาพเอ็กซเรย์ปอดและแมมโมแกรม โดย AI สามารถตรวจพบร่องรอยของมะเร็งที่อาจหลุดรอดสายตามนุษย์ได้ โดยมีกรณีศึกษาที่น่าทึ่งคือ AI สามารถตรวจพบสัญญาณมะเร็งล่วงหน้าได้ถึง 5 ปี ก่อนที่จะแสดงอาการชัดเจน ซึ่งเพิ่มโอกาสการรักษาให้หายขาดได้อย่างมหาศาล

สุขภาพจิตใกล้แค่ปลายนิ้ว: เมื่อ AI เป็นเพื่อนรับฟังและคัดกรองภาวะซึมเศร้า

ปัญหาการเข้าถึงบริการสุขภาพจิตเป็นอีกหนึ่งความท้าทายสำคัญ ด้วยคิวรอพบจิตแพทย์ที่ยาวนานถึง 6 เดือน แอปพลิเคชัน “DMIND” ใน “หมอพร้อม” จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือคัดกรองภาวะซึมเศร้าเบื้องต้น รศ. พญ.โสฬพัทธ์ กล่าวว่า แอปพลิเคชัน “DMIND” ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลจากสีหน้า น้ำเสียง และข้อความ เพื่อประเมินภาวะซึมเศร้าเบื้องต้นด้วยความแม่นยำถึง 85% ช่วยแก้ปัญหาการรอคิวพบจิตแพทย์ที่ยาวนาน และสามารถช่วยเหลือผู้ที่มีความเสี่ยงฆ่าตัวตายได้ทันท่วงที โดยปัจจุบันมีผู้ใช้งานแล้วกว่า 400,000 ครั้ง และสามารถช่วยเหลือผู้ที่มีความคิดฆ่าตัวตายได้หลายพันคน

ในอนาคต AI จะพัฒนาไปสู่การเป็น “แชทบอท” ที่สามารถให้คำปรึกษาเบื้องต้นได้เสมือนนักจิตวิทยา ช่วยเป็นเพื่อนรับฟังได้ตลอด 24 ชั่วโมง และช่วยให้จิตแพทย์ติดตามอาการคนไข้ได้อย่างใกล้ชิด เพื่อปรับยาและการรักษาได้อย่างเหมาะสม

ลดภาระแพทย์ เพิ่มเวลาให้ผู้ป่วย และเร่งการพัฒนายาใหม่

AI ไม่เพียงแต่ช่วยในการวินิจฉัย แต่ยังเข้ามาปฏิวัติขั้นตอนการทำงานในโรงพยาบาลและกระบวนการคิดค้นยาใหม่ ๆ อีกด้วย จิรเมธ คิญชกวัฒน์ AI Engineer จาก CARIVA (Thailand) กล่าวว่า เทคโนโลยี AI อย่างระบบถอดเสียงอัตโนมัติ ASR (Automatic Speech Recognition) สามารถแปลงเสียงบทสนทนาระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยให้เป็นข้อความและสรุปข้อมูลสำคัญลงในระบบได้โดยอัตโนมัติ ช่วยลดเวลาที่แพทย์ต้องใช้ในการจดบันทึกได้ถึง 70% ทำให้มีเวลาพูดคุยและใส่ใจผู้ป่วยได้มากขึ้น

และในกระบวนการพัฒนายาที่เคยใช้เวลากว่า 10 ปี AI สามารถเข้ามาเรียนรู้โครงสร้างยาและคัดกรองสารประกอบที่มีศักยภาพ จนอาจย่นระยะเวลาการพัฒนายาใหม่ ๆ โดยเฉพาะยารักษามะเร็ง ให้เหลือเพียง 3-4 ปี ซึ่งถือเป็นการสร้างความหวังครั้งใหญ่ให้แก่ผู้ป่วยโรคร้ายแรง

ความท้าทายและก้าวต่อไปของ AI ทางการแพทย์

อย่างไรก็ตาม การนำ AI มาใช้ยังมีความท้าทายที่ต้องร่วมกันแก้ไข จิรเมธ กล่าวว่า การเชื่อมต่อของข้อมูล (Interoperability) ระบบของแต่ละโรงพยาบาลยังไม่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ทำให้การนำ AI ไปใช้ในวงกว้างเป็นไปได้ยาก และจำเป็นต้องสร้างฐานข้อมูลของคนไทยเอง (Inclusiveness) เพื่อให้ AI ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ไม่เอนเอียงจากข้อมูลของชาวต่างชาติ ดังนั้น การสร้างฐานข้อมูลสุขภาพของคนไทยเองจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง

ขณะที่ รศ. พญ.โสฬพัทธ์ และศศินันท์ ต่างเห็นตรงกันถึงอุปสรรคด้านกฎระเบียบ การสร้างความเชื่อมั่น และการสนับสนุนด้านงบประมาณ ซึ่งทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนต้องร่วมมือกันผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้เทคโนโลยี AI สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยได้อย่างแท้จริง

การผลักดันโครงการวิจัยและพัฒนา AI ทางการแพทย์ยังต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชนอย่างจริงจัง ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่ประชาชนทั่วไปสามารถทำได้คือการเปิดใจเรียนรู้และสร้าง “ความเข้าใจใน AI (AI Literacy)” มองว่า AI เป็นเครื่องมือที่มีทั้งประโยชน์และข้อจำกัด ใช้เทคโนโลยีเพื่อดูแลสุขภาพของตนเอง และให้ข้อมูลป้อนกลับแก่ผู้พัฒนา เพื่อร่วมกันสร้างระบบสาธารณสุขที่แข็งแกร่งและยั่งยืนสำหรับทุกคน

×

Share

ผู้เขียน