Share on
×

Share

NIA กับภารกิจ ขับเคลื่อนสตาร์ตอัพไทยให้เติบโตสู่ระดับยูนิคอร์นมากขึ้น

ปัจจุบัน คนรุ่นใหม่หันมาให้ความสนใจและมุ่งมั่นในการสร้างสตาร์ตอัพมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สตาร์ตอัพไม่เพียงแต่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความเจริญก้าวหน้าทางสังคมและการพัฒนาเชิงโครงสร้างของประเทศ ความมุ่งมั่นและความคิดสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ในการสร้างธุรกิจใหม่ ๆ จะนำพาประเทศไทยไปสู่ความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีในอนาคต จึงเป็นหน้าที่ของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมการเกิดขึ้นของธุรกิจสตาร์ตอัพที่มีโอกาศเติบโต รวมถึงผลักดันเรื่องการสเกลอัพของธุรกิจสตาร์ตอัพในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น

ภายในงาน “STARTUP x INNOVATION THAILAND EXPO 2024” ซึ่งจัดขึ้นในงาน อว. Fair 2024 มีงานจัดเสวนาพิเศษ หัวข้อ Road to Unicorn ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน), ดร.สุรอรรถ ศุภจัตุรัส รองผู้อำนวยการด้านเศรษฐกิจและสังคม NIA และ ปริวรรต วงษ์สำราญ รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม NIA พูดคุยถึงอนาคตของสตาร์ตอัพไทย และเป้าหมายของ NIA ในการขับเคลื่อนธุรกิจไทยที่มีโอกาสเติบโตสู่ระดับยูนิคอร์นเพิ่มมากขึ้น

สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ เป็นหน่วยงานสำคัญที่มุ่งดำเนินการ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจสตาร์ตอัพในประเทศ ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจ ส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรม สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโต สร้างแบรนด์ระดับนานาชาติ และสนับสนุนภาครัฐในการพัฒนาเศรษฐกิจ เนื่องจากการให้ความสำคัญกับการสเกลอัพของธุรกิจสตาร์ตอัพเพื่อจะสร้างปัจจัยสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะยาวได้อย่างมั่นคง

การสเกลอัพสู่ระดับ “ยูนิคอร์น” คืออะไร?

ดร.กริชผกา ให้ข้อมูลว่า การสเกลอัพ (Scale Up) ของสตาร์ตอัพสู่ระดับ “ยูนิคอร์น” หมายถึงกระบวนการที่ธุรกิจสตาร์ตอัพมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วและมีมูลค่าทางการตลาดสูงถึง 1 พันล้านเหรียญสหรัฐขึ้นไป สตาร์ตอัพที่สามารถเติบโตจนถึงระดับนี้ได้มักจะมีการเติบโตในหลายด้าน เช่น การเพิ่มจำนวนลูกค้า การขยายตลาด และการเพิ่มรายได้อย่างมหาศาล กระบวนการสเกลอัพต้องการการสนับสนุนจากหลายภาคส่วน รวมถึงการลงทุน การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และนวัตกรรมที่สร้างความแตกต่าง และการที่สตาร์ตอัพสามารถสเกลอัพจนถึงระดับยูนิคอร์นไม่เพียงแต่แสดงถึงความสำเร็จของธุรกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย สตาร์ตอัพระดับยูนิคอร์นสามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ สร้างงานใหม่ๆ และเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศในสายตาของนักลงทุนและผู้บริโภคทั่วโลก

โดยระดับของธุรกิจสตาร์ตอัพในประเทศไทย การแบ่งระดับสตาร์ตอัพมักจะอ้างอิงจากเกณฑ์ที่ใช้กันในวงการสตาร์ตอัพสากล ซึ่งแบ่งตามช่วงการพัฒนาและขนาดของธุรกิจ โดยสามารถสรุปเป็นเกณฑ์หลัก ๆ ดังนี้

  • ระดับ Pre-Seed : เป็นช่วงเริ่มต้นที่ยังอยู่ในขั้นของการสร้างแนวคิด (Idea Stage) มีการวิจัยตลาดเบื้องต้นและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบ (Prototype) เงินทุนส่วนตัว การสนับสนุนจากครอบครัวและเพื่อน หรือโครงการบ่มเพาะ (Incubator)
  • ระดับ Seed : มีผลิตภัณฑ์หรือบริการต้นแบบ (MVP) ได้รับการพัฒนาและทดสอบตลาดเบื้องต้น มีการวางแผนการตลาดและเริ่มต้นขยายฐานลูกค้า มีนักลงทุนเทวดา (Angel Investor) เป็นนักลงทุนอิสระที่มีเงินทุนและประสบการณ์ หรือมีกองทุนร่วมลงทุน (Venture Capital – VC) ระยะแรก
  • ระดับ Series A : ผลิตภัณฑ์หรือบริการเริ่มเข้าสู่ตลาดและมีรายได้เบื้องต้น การขยายฐานลูกค้าและตลาด การพัฒนาทีมงานและโครงสร้างองค์กร มีกองทุนร่วมลงทุน (VC) ระดับ Series A
  • ระดับ Series B และ Series C : ธุรกิจมีการขยายตลาดและฐานลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ รายได้และการเติบโตมีความมั่นคง การปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการทางธุรกิจ มีกองทุนร่วมลงทุน (VC) ระดับ Series B และ Series C
  • ระดับ Growth Stage และ Late Stage : ธุรกิจมีการเติบโตอย่างรวดเร็วและมีฐานลูกค้าที่มั่นคง การขยายธุรกิจในระดับนานาชาติ การควบรวมและเข้าซื้อกิจการ (Mergers and Acquisitions – M&A) มีกองทุนร่วมลงทุนขนาดใหญ่ หรือการออกหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ (IPO)

แนวโน้มของธุรกิจสตาร์ตอัพในประเทศไทย

สตาร์ตอัพในประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ แนวโน้มของสตาร์ตอัพในไทยนั้นสะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาทางเทคโนโลยี นวัตกรรม และการสร้างสรรค์ที่เกิดขึ้นในทุกภาคส่วน 

ดร.สุรอรรถ ศุกอัตรัส รองผู้อำนวยการด้านเศรษฐกิจและสังคม NIA กล่าวถึงสภาพ Ecosystem ของสตาร์ตอัพในประเทศไทยว่า “ปัจจุบันมีการสำรวจพบว่าสตาร์ตอัพในประเทศไทยมีอยู่ประมาณ 2,100 ล้านรายทั่วประเทศ แต่มีเพียงสัดส่วนเล็กน้อยที่สามารถเติบโตขึ้นไปในระดับเกรด C และยิ่งน้อยลงเมื่อต้องการขยับไปสู่ระดับเกรด B” เป็นหนึ่งในความท้าทายที่สำคัญคือการที่สตาร์ตอัพในประเทศไทยมักมุ่งเน้นเฉพาะตลาดในประเทศ โดยไม่ได้มีแผนสำหรับการรับเงินทุนจากต่างประเทศ ตัวอย่างเช่น หากต้องการสร้างธุรกิจที่มีมูลค่าสูงถึง 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ จำเป็นต้องมีการรับเงินทุนจากนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งมักจะมองเห็นภาพรวมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากกว่ามองเพียงประเทศไทยเท่านั้น นั่นเป็นเหตุผลที่สตาร์ตอัพในไทยยังมีโอกาสเติบโตน้อยอยู่ การตระหนักถึงความสำคัญของการระดมทุนจากต่างประเทศจะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถขยายตลาดและเพิ่มมูลค่าธุรกิจได้มากขึ้น

ใน 2-3 ปีที่ผ่านมาหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 สตาร์ตอัพหลายแห่งได้มีการรวมตัวกันมากขึ้นเพื่อสร้างผลกำไรที่จับต้องได้ ซึ่งจะดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาร่วมลงทุนได้มากกว่าที่เคย อีกเทรนด์หนึ่งที่เกิดขึ้นคือ ความเป็นดิจิตอลสตาร์ตอัพอาจไม่เพียงพอที่จะทำให้นักลงทุนสนใจอีกต่อไป จะเริ่มเห็นธุรกิจด้านฮาร์ดแวร์, Digital Technology, Biotechnology เพิ่มมากขึ้น

และในอนาคตอุตสาหกรรมสตาร์ตอัพที่กำลังมาแรงในประเทศไทยมีหลายด้าน ตั้งแต่การชำระเงินดิจิทัล (Fintech) สินค้าออนไลน์ (E-commerce) การให้บริการทางการแพทย์ออนไลน์ (Healthtech) การเรียนรู้ออนไลน์ (Edtech) สมาร์ทโฮมและไอโอที บล็อกเชนและคริปโตเคอเรนซี ไปจนถึงโลจิสติกส์และซัพพลายเชน การเติบโตของอุตสาหกรรมเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจของประเทศ แต่ยังสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับผู้ประกอบการและนักลงทุนในการพัฒนาธุรกิจและนวัตกรรมในอนาคต

NIA ผลักดันให้เกิด Ecosystem ที่เหมาะกับการเติบโตของธุรกิตสตาร์ตอัพ

ดร.กริชผกา กล่าวว่า “เราจะเห็นได้ว่าการสร้างอีโคซิสเต็มส์เพื่อสนับสนุนการเติบโตของสตาร์ตอัพในประเทศไทยมีความพร้อมมากขึ้น เนื่องจากเราผ่านวิกฤตต่างๆ มาได้แล้ว ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้สตาร์ตอัพที่อยู่ในตลาดสามารถสร้างรายได้ที่ยั่งยืนและเพิ่มมูลค่าได้มากขึ้น” และเน้นย้ำว่าปัจจัยสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของสตาร์ตอัพคือ “การเงินไฟแนนซ์” และ “เงินทุน” การสนับสนุนทางการเงินนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการมีกำลังและทรัพยากรที่เพียงพอในการดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ซึ่งหนึ่งในแผนการดำเนินงานนั่นคือการสร้าง Ecosystem ที่เข้มแข็ง โดยเฉพาะในช่วงเวลาหลังวิกฤตเศรษฐกิจ สตาร์ตอัพในประเทศไทยได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและความสามารถในการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ การสร้าง Ecosystem ที่เข้มแข็งจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของสตาร์ตอัพให้เป็นยูนิคอร์น

โดยปัจจัยสนับสนุนการเติบโตจะครอบคลุมด้านต่าง ๆ ดังนี้

  1. การสนับสนุนทางการเงิน : การให้เงินทุนสนับสนุนจากแหล่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือการระดมทุนผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สตาร์ตอัพมีทรัพยากรเพียงพอในการพัฒนาและขยายธุรกิจ
  2. การให้คำปรึกษาและการฝึกอบรม : การสร้างความรู้ความเข้าใจในด้านต่างๆ เช่น การบริหารจัดการ การตลาด และเทคโนโลยีใหม่ ๆ จะช่วยให้ผู้ประกอบการมีทักษะและความรู้ที่จำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจ
  3. การสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชน : การจัดตั้งโครงการสนับสนุน การให้สิทธิพิเศษทางภาษี และการสร้างเครือข่ายระหว่างสตาร์ตอัพและผู้ประกอบการจะช่วยให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน

แม้ว่าเส้นทางการเติบโตของสตาร์ตอัพจนถึงการเป็นยูนิคอร์นอาจจะยากและต้องผ่านอุปสรรคหลายอย่าง แต่ด้วยการสนับสนุนที่เหมาะสมและ Ecosystem ที่เข้มแข็ง การเจอยูนิคอร์นในไทยอีกครั้งก็ไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินไป การร่วมมือระหว่างทุกภาคส่วนจะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้สตาร์ตอัพไทยสามารถก้าวสู่ความสำเร็จและเป็นผู้นำในตลาดโลกได้ในอนาคต

ดร.กริชผกา อธิบายเพิ่มว่า NIA มีภารกิจหลักในการพัฒนาระบบนวัตกรรมแห่งชาติ ซึ่งรวมถึงการสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย (SME), สตาร์ตอัพ, และ Social Enterprise หรือ SE เป็นการทำธุรกิจเพื่อสังคม หน่วยงานเหล่านี้ต้องการทรัพยากรที่เพียงพอเพื่อการขยายตลาดและธุรกิจ หรือการหา Business Partner ที่เหมาะสม NIA มุ่งเน้นการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ เพื่อให้ผู้ประกอบการเหล่านี้เติบโตได้อย่างมั่นคง แต่ไม่ใช่ทุกสตาร์ตอัพที่ต้องการเพียงเงินทุนในการเติบโต บางรายอาจต้องการกฎเกณฑ์หรือมาตรการที่ทำให้ธุรกิจของพวกเขาดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ในด้านของการดำเนินงานทางการเงิน NIA ได้ร่วมมือกับธนาคารแห่งชาติในการสร้าง “Sand Box” เพื่อให้สตาร์ตอัพสายฟินเทคสามารถเติบโตได้ ด้วยความร่วมมือนี้ ผู้ที่เกี่ยวข้องจะมาอยู่ในแพลตฟอร์มเดียวกันเพื่อสร้างแนวทางในการสเกลอัพธุรกิจให้เป็นระดับยูนิคอร์น

กลยุทธ์สำคัญของ NIA

นำเสนอแผนกลยุทธ์และพันธกิจของ NIA ในการขับเคลื่อนนวัตกรรมในประเทศไทย เป้าหมายหลักคือการสร้างและส่งเสริมนวัตกรรมในหลายมิติ ตั้งแต่การสร้างเครือข่าย การสร้างนวัตกร การยกระดับนวัตกรรมไทย การสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน และการพัฒนาระบบข้อมูล ซึ่งเป็นแนวคิดหลักที่ใช้ในการสนับสนุนและขับเคลื่อนสตาร์ตอัพและนวัตกรรมในประเทศไทยให้เติบโตและมีความยั่งยืน โดยเน้นการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา และในการขับเคลื่อนสตาร์ตอัพและนวัตกรรมในประเทศไทย ซึ่งเน้นที่ 4 ขั้นตอนหลักในการสนับสนุนและพัฒนา คือ

  1. GROOM : ร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อขยายกลุ่ม IBE (องค์กรที่มีการเปลี่ยนแปลงธุรกิจ ด้วยฐานนวัตกรรม) เข้าหาตลาดใหม่มากขึ้น หรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดภารกิจและปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ
  2. GRANT : ส่งเสริม Venture Capital (VC) การให้ทุนสนับสนุนผ่านการลงทุนโดยตรงและกองทุนร่วมทุน เพื่อช่วยให้สตาร์ตอัพสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง
  3. GROWTH : จัดตั้ง NIA Accelerator โปรแกรมเร่งการเติบโตที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้สตาร์ตอัพสามารถขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
  4. GLOBAL : โปรแกรมที่ช่วยให้สตาร์ตอัพสามารถเข้าถึงตลาดต่างประเทศได้ง่ายขึ้น หรือการสร้างความร่วมมือกับองค์กรและพันธมิตรในระดับนานาชาติเพื่อเสริมสร้างศักยภาพและโอกาสทางธุรกิจ

นอกจากนี้ NIA ยังชู 7 กลยุทธ์ที่จะเปรียบเสมือนแนวทางการดำเนินงานในปัจจุบันและอนาคต

  1. Regional Market Validation : กลไกการขยายผลนวัตกรรมในระดับภูมิภาค โดยเน้นการทดสอบและปรับใช้ในตลาดภูมิภาคเพื่อให้มั่นใจว่านวัตกรรมนั้นสามารถทำงานได้จริงในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน
  2. Thematic Innovation : กลไกการสนับสนุนโครงการนวัตกรรมแบบมุ่งเป้า โดยเน้นการพัฒนานวัตกรรมในสาขาที่มีความสำคัญและตรงตามเป้าหมายเฉพาะ เช่น พลังงานสะอาด การเกษตรอัจฉริยะ หรือการแพทย์ เป็นต้น
  3. MIND (Mechanism for Industry Development) : กลไกการสนับสนุนที่ปรึกษาเพื่อพัฒนานวัตกรรม โดยให้ความช่วยเหลือและคำปรึกษาในการพัฒนานวัตกรรมและการปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจ
  4. Standard Testing : กลไกการสนับสนุนการทดสอบมาตรฐานสำหรับธุรกิจนวัตกรรม เพื่อให้แน่ใจว่าสินค้าหรือบริการที่พัฒนามานั้นเป็นไปตามมาตรฐานสากลและสามารถแข่งขันในตลาดได้
  5. Market Expansion : กลไกการขยายธุรกิจนวัตกรรม โดยสนับสนุนการเจาะตลาดใหม่ การเพิ่มส่วนแบ่งตลาด และการขยายฐานลูกค้า
  6. Working Capital Interest : กลไกการสนับสนุนดอกเบี้ยหมุนเวียนเพื่อเสริมสภาพคล่อง สำหรับธุรกิจที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อดำเนินกิจการอย่างต่อเนื่อง
  7. Corporate Co-funding : กลไกการสนับสนุนผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้ได้ร่วมโครงการร่วมทุนและขยายตลาดโดยการสร้างความร่วมมือกับภาคธุรกิจขนาดใหญ่และองค์กรที่มีศักยภาพ

หนึ่งในตัวอย่างของการดำเนินงานเพื่อสนับสนุนสตาร์ตอัพคือการจัดตั้งศูนย์ดูแลในหลายประเทศ เช่น เกาหลี, จีน, ฮ่องกง, ออสเตรเลีย, และเยอรมัน โดยศูนย์เหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการให้คำปรึกษาทางการดำเนินธุรกิจที่ดี สนับสนุนให้สตาร์ตอัพสามารถดำเนินการได้อย่างดีที่สุดในประเทศเหล่านั้น การมีที่ปรึกษาในต่างประเทศช่วยให้สตาร์ตอัพมีโอกาสในการเติบโตและขยายธุรกิจไปสู่ระดับนานาชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จะสเกลธุรกิจเป็นยูนิคอนต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง?

การเติบโตจากสตาร์ตอัพเล็ก ๆ ไปสู่การเป็นยูนิคอร์นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ด้วยการโฟกัสกับการดำเนินงานอย่างจริงจังและการมีทีมที่พร้อมจะมุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกัน จะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้สามารถสเกลธุรกิจได้ สตาร์ตอัพสามารถเติบโตและก้าวไปสู่การเป็นยูนิคอร์นได้จากการโฟกัสกับการดำเนินงานอย่างจริงจัง การมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและการทำงานที่มุ่งมั่นจะเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญในการนำพาธุรกิจไปสู่ความสำเร็จ

สตาร์ตอัพควรเน้นที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ตอบสนองความต้องการของตลาด และมีการปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดได้ นอกจากการโฟกัสกับการดำเนินงานแล้วยังเน้นถึงความสำคัญของการมีทีมที่แข็งแกร่งและพร้อมที่จะมุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกัน การมีเพื่อนร่วมทีมที่มีทักษะและความสามารถที่หลากหลายจะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับสตาร์ตอัพ ทีมเวิร์คที่ดีจะทำให้สามารถแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ รวมถึงการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ปริวรรต วงษ์สำราญ รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม NIA ฝากว่า “อยากฝากให้ธุรกิจสตาร์ตอัพที่กำลังดำเนินการธุรกิจหรือมีเป้าหมายที่จะเป็นยูนิคอร์นในอนาคตต้องโฟกัสกับการดำเนินงานอย่างจริงจังและการมีเพื่อนร่วมทีมที่พร้อมจะมุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกันอย่างชัดเจน เพื่อที่จะสเกลธุรกิจไปในระดับยูนิคอร์นมาก ๆ” ดร.สุรอรรถ เสริมด้วยว่า “อยากให้พูดได้เต็มปากว่าเรามียูนิคอร์นในประเทศไทยที่ช่วยกันสร้าง และเป็นสิ่งที่กลไกภาครัฐเอื้อให้พวกเขาเติบโต ไม่ว่าจะเป็นเม็ดเงิน, กฎระเบียบข้อบังคับ ถ้ามีความพร้อมในการฟูมฟักและตั้งเป้าพร้อมเติบโต”

ดังนั้นการสนับสนุนสตาร์ตอัพในประเทศไทยมีความสำคัญอย่างยิ่ง การสนับสนุนจากศูนย์ดูแลในต่างประเทศและการให้คำปรึกษาในช่วงแรกเริ่มต้นจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับสตาร์ตอัพ นอกจากนี้ การมีบทบาทที่ชัดเจนและการสนับสนุนจากภาครัฐจะช่วยให้สตาร์ตอัพไทยสามารถเติบโตและก้าวสู่ระดับยูนิคอร์นได้ในอนาคต การสร้างกลไกที่เอื้ออำนวยต่อการเติบโตของสตาร์ตอัพจะทำให้ประเทศไทยเป็นที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนและเสริมสร้างเศรษฐกิจในระยะยาว

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

เอสซีจีเพิ่มความฟิตธุรกิจ – คุมเข้มบริหารต้นทุน ผลกระทบธุรกิจปิโตรเคมิคอลล์ยังอยู่ช่วงขาลง

REPCO NEX รุกคืบบริการ ด้วยดิจิทัลโซลูชันเพื่อภาคอุตสาหกรรมแบบครบวงจร

×

Share

ผู้เขียน