Share on
×

Share

‘ขยะที่คนไม่กล้าทิ้ง’ พลิกซากรถเก่าเป็นขุมทรัพย์ 2 แสนล้าน

ในงาน Sustrends 2025 Year of Volunteers ซึ่งจัดโดย The Cloud รศ.ดร.เกรียงไกร เตชกานนท์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ชวนตั้งคำถามสำคัญที่มักถูกมองข้าม ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า (EV) นั่นคือ “รถยนต์ที่ใช้แล้วไปไหน?” พร้อมชี้ให้เห็นปรากฏการณ์ “รถยนต์: ขยะที่คนไม่กล้าทิ้ง” ซึ่งไม่เพียงซ่อนวิกฤติด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย แต่ยังเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจมูลค่ามหาศาลเกือบสองแสนล้านบาทที่รอการปลดล็อก

ทำไมคนไทยไม่ทิ้งรถ? รากลึกจากอดีตสู่ปัญหาสะสมในปัจจุบัน

ปรากฏการณ์ “รถยนต์อมตะ” ในไทยมีที่มาจากบริบททางประวัติศาสตร์ที่หยั่งรากลึก ในอดีตนโยบายกำแพงภาษีที่สูงเพื่อส่งเสริมการผลิตในประเทศ ทำให้รถยนต์มีราคาแพงมหาศาลเทียบเท่ากับการซื้อบ้านหนึ่งหลัง 

สิ่งนี้ได้หล่อหลอมทัศนคติของคนไทยให้มองรถยนต์เป็น “ทรัพย์สิน” มากกว่า “สินค้าอุปโภค” จึงเกิดเป็นวัฒนธรรมการใช้รถอย่างยาวนาน “เสียก็ซ่อม” และพยายามซ่อมจนกว่าจะใช้ไม่ได้จริง ๆ เมื่อถึงจุดนั้น รถยนต์ก็ไม่ได้ถูกทิ้ง แต่จะถูกขายต่อไปยังตลาดรถมือสองในต่างจังหวัด เกิดเป็นวงจรการใช้งานที่ยืดเยื้อต่อไปอีก

สถิติจากกรมการขนส่งทางบกยืนยันเรื่องนี้อย่างชัดเจน ตั้งแต่ปี 2544 ถึงปลายปี 2566 มียอดขายรถยนต์สะสมราว 24.6 ล้านคัน แต่ตลอดระยะเวลาเกือบ 25 ปี มีรถที่ถูกกำจัดออกจากระบบทะเบียนเพียง 5 ล้านคันเท่านั้น ทำให้ปัจจุบันมีรถยนต์จดทะเบียนในระบบเกือบ 20 ล้านคัน และที่น่ากังวลคือ 1 ใน 3 ของจำนวนนี้ หรือกว่า 6.5 ล้านคัน มีอายุการใช้งานเกิน 15 ปี

ปัญหาซ้อนทับ: ต้นทุนที่มองไม่เห็นจากการใช้และการทิ้ง

แม้การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าจะดูสอดคล้องกับหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) แต่ในกรณีนี้กลับสร้างปัญหาซ้อนทับกันใน 2 มิติหลัก ด้านแรกคือ ปัญหาจากการใช้งานรถยนต์เก่าเหล่านี้เป็นหนึ่งในแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศที่สำคัญ ขณะที่สมรรถนะและอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยก็เสื่อมสภาพตามกาลเวลา ทำให้มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอุบัติเหตุรุนแรง ซึ่งสร้างความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินอันเป็นต้นทุนแฝงที่สังคมต้องแบกรับโดยไม่รู้ตัว

ส่วนอีกด้านคือ ปัญหาจากการทิ้ง เมื่อรถหมดสภาพการใช้งาน เจ้าของจำนวนมากมักจอดทิ้งไว้ตามที่สาธารณะ ตรอกซอกซอย หรือแม้แต่ในหมู่บ้าน ซึ่งในทางเศรษฐศาสตร์ถือเป็นการสูญเสียทรัพยากรที่มีค่าซึ่งควรถูกนำกลับไปใช้ใหม่ หรือเมื่อถูกขายเป็นซาก ก็มักจะเข้าสู่กระบวนการถอดรื้อโดยผู้ประกอบการรายย่อยที่ขาดเครื่องมือและมาตรฐาน ทำให้การนำวัสดุมีค่ากลับมาใช้ใหม่ทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ และยังเสี่ยงต่อการรั่วไหลของสารเคมีที่เป็นอันตรายสู่สิ่งแวดล้อมอีกด้วย

จากปัญหา…สู่โอกาส: ขุมทรัพย์ ‘เหมืองในเมือง’ มูลค่า 2 แสนล้าน

อย่างไรก็ตาม หากเปลี่ยนมุมมอง ซากรถยนต์ที่จอดรอวันผุพังเหล่านี้คือขุมทรัพย์ที่เรียกว่า “เหมืองในเมือง” (Urban Mining) เนื่องจากรถยนต์หนึ่งคันประกอบด้วยโลหะมีค่าที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ถึง 70% ของน้ำหนักทั้งหมด โดยมีมูลค่าเฉลี่ยต่อคันไม่ต่ำกว่า 30,000 บาท เพียงแค่ชิ้นส่วนอย่าง Catalytic Converter ก็มีราคานับพันบาทแล้ว 

เมื่อนำตัวเลขนี้มาคูณกับจำนวนรถยนต์เก่าที่คาดว่าจะหมดอายุการใช้งานในอนาคตอันใกล้ราว 6.5 ล้านคัน นี่คือโอกาสทางเศรษฐกิจที่ซ่อนอยู่ซึ่งมีมูลค่าสูงถึงเกือบ 200,000 ล้านบาท หากประเทศไทยมีระบบการจัดการและรีไซเคิลซากรถยนต์ที่มีประสิทธิภาพ

ถอดบทเรียนโลก: โมเดลจัดการซากรถยนต์ที่ไทยต้องเดินตาม

หลายประเทศชั้นนำได้พัฒนากฎหมายและระบบเพื่อจัดการปัญหานี้อย่างเป็นรูปธรรมแล้ว โดยเฉพาะในสหภาพยุโรปและญี่ปุ่นที่มีกฎหมายการจัดการซากรถยนต์ (End-of-Life Vehicle Law) ซึ่งใช้ หลักการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต (Extended Producer Responsibility – EPR) ที่บังคับให้ผู้ผลิตรถยนต์ต้องรับผิดชอบในการเก็บกลับและรีไซเคิลซากรถยนต์ของตนเอง 

โดยตั้งเป้าหมายคือให้มีขยะที่ต้องนำไปฝังกลบเหลือน้อยที่สุดเพียง 5% ของน้ำหนักรถเท่านั้น ขณะเดียวกันผู้บริโภคก็มีหน้าที่ต้องแจ้งยกเลิกทะเบียนรถอย่างเป็นทางการ เพื่อรับ “ใบรับรองการทำลายซาก” (Certificate of Destruction – COD) ซึ่งเปรียบเสมือน “ใบมรณบัตร” ของรถยนต์คันนั้น เพื่อให้มั่นใจว่าซากรถจะเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลที่ถูกต้อง

สำหรับประเทศไทย โมเดลของประเทศออสเตรเลียอาจเป็นแนวทางที่น่าสนใจและปรับใช้ได้ง่ายกว่า เนื่องจากออสเตรเลียกำลังจะเริ่มใช้ระบบที่อาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยภาคอุตสาหกรรมรับผิดชอบการเก็บกลับและรีไซเคิล ภาครัฐดูแลระบบทะเบียนให้รัดกุมเพื่อติดตามรถยนต์ตั้งแต่ต้นจนจบ และผู้บริโภคต้องรับผิดชอบในการแจ้งยกเลิกทะเบียนเมื่อเลิกใช้งาน

ก้าวต่อไปของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย: ปิดลูปสู่ผู้นำการรีไซเคิล

ประเทศไทยประสบความสำเร็จอย่างสูงในฐานะฐานการผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนและเป็นอันดับ 10 ของโลก รวมถึงเป็นผู้นำด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ถึงเวลาแล้วที่เราต้องก้าวไปอีกขั้นเพื่อปิดลูปวงจรการผลิตให้ครบถ้วนสมบูรณ์ โดยมีแนวทางที่ต้องดำเนินการ 3 ประการคือ

ออกกฎหมายจัดการซากรถยนต์อย่างเป็นรูปธรรม: เพื่อสร้างกรอบการทำงานที่ชัดเจนและมีผลบังคับใช้สำหรับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

พัฒนาระบบทะเบียนให้เข้มงวด: เพื่อควบคุมและติดตามสถานะของรถยนต์ทุกคันตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ป้องกันการหลุดออกนอกระบบและสร้างความรับผิดชอบให้กับเจ้าของ

ส่งเสริมและกำกับดูแลธุรกิจรีไซเคิล: เพื่อยกระดับมาตรฐานการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการเตรียมพร้อมสำหรับอุตสาหกรรมรีไซเคิลแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่มีมูลค่าสูงและมีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออนาคตของอุตสาหกรรม

การคว้าโอกาสทางธุรกิจจากการรีไซเคิลซากรถยนต์ ไม่เพียงแต่จะช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย แต่ยังเป็นการสร้างเศรษฐกิจที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น การลงทุนที่กรีนขึ้น และการจ้างงานที่ต้องใช้ทักษะที่สูงขึ้น ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยไม่ตกขบวนการเปลี่ยนแปลง และสามารถต่อยอดความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ได้อย่างครบวงจรและยั่งยืนอย่างแท้จริง

เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจจากงาน Sustrends 2025

‘ความมั่นคงทางอาหาร’ ฉบับยั่งยืน: เมื่อคนปลูกคนกินและธรรมชาติต้องไปด้วยกัน

เวลาและเงินทุน: UN ชี้ 2 ทรัพยากรพลิกไทยสู่เป้าหมายโลกยั่งยืน (SDGs)

พลิกเกมค้าโลก: เมื่อ ‘ความยั่งยืน’ คือแต้มต่อใหม่ของไทยในเวทีสากล

จาก K-9 สู่เยาวชน: ‘เสียงเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่’ กับยุทธศาสตร์ ‘อยู่รอดร่วมกัน’

×

Share

ผู้เขียน